เครือข่ายการจัดการภัยพิบัติจากธรรมชาติพื้นที่ภาคใต้
เครือข่ายการจัดการภัยพิบัติจากธรรมชาติพื้นที่ภาคใต้ เป็นองค์กรภาคประชาชนที่พัฒนายกระดับมาจากเครือข่ายแผนแม่บทชุมชนพึ่งตนเองภาคใต้ ปัจจุบันได้ขับเคลื่อนงานภายใต้ “โครงการพัฒนาระบบและโครงข่ายการจัดการภัยพิบัติด้วยพลังสังคมพื้นที่ภาคใต้” สนับสนุนโดยสำนักสุขภาวะชุมชน (สำนัก3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เริ่มตั้งแต่ปลายปี 2547 เกิดเหตุการณ์สึนามิถล่มพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน สร้างความเสียหายให้กับครอบครัวแกนนำของเครือข่ายแผนแม่บทชุมชนพึ่งตนเองภาคใต้ ทางเครือข่ายแผนฯ จึงได้ส่งทีมงานไปช่วยเหลือ และเมื่อถึงพื้นที่เกิดเหตุพบว่ามีความเสียหายอย่างรุนแรง จึงได้ระดมทีมงานอาสาสมัครของเครือข่ายแผนฯทั่วทั้งภาคใต้ เข้าช่วยเหลือพี่น้อง โดยภารกิจหลักคือ ร่วมกันจัดตั้งศูนย์พักพิงบ้านบางม่วง ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา สร้างบ้านพักชั่วคราวและบ้านพักถาวรที่ชุมชนทุ่งว้า ชุมชนทับตะวัน พร้อมทั้งสนับสนุนกิจกรรมสร้างอาชีพ เช่น ต่อเรือ ถักอวน ให้กับกลุ่มผู้ประสบภัย
ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่เครือข่ายแผนฯ ไปร่วมช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยสึนามิ ได้มีการถอดบทเรียนการทำงานเรื่องการจัดการภัยพิบัติ และช่วงนั้นแกนนำของเครือข่ายแผนฯ ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานการฟื้นฟูสึนามิจากประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน และได้มีโอกาสไปดูงานจิตอาสาที่มูลนิธิ “จื๋อฉี้” ประเทศใต้หวัน เมื่อคณะกลับมาก็ได้ร่วมกันจัดตั้ง เครือข่ายการจัดการภัยพิบัติจากธรรมชาติพื้นที่ภาคใต้ขึ้น โดยมีภารกิจหลักคือ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากธรรมชาติ ประกอบกับปลายปี 2548 เกิดอุทกภัยพื้นที่ฝั่งอ่าวไทย 7 จังหวัด คือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง จังหวัดสงขลา จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส ทางเครือข่ายการจัดการภัยพิบัติจากธรรมชาติพื้นที่ภาคใต้ ได้สนับสนุนอาสาสมัครไปช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่หน่วยงานอื่นเข้าไปได้ยาก เช่น ป่าพรุควนเคร็ง จังหวัดนครศรีธรรมราช ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา จังหวัดสงขลา ตำบลเกาะนางคำ จังหวัดพัทลุง บ้านตะโน๊ะบูเต๊ะ อำเภอบันนังสะตา จังหวัดยะลา เป็นต้น
หลังจากนั้นปี 2549 ก็เกิดน้ำป่าดินโคลนถล่มพื้นที่ 3 จังหวัดภาคเหนือ คือ จังหวัดแพร่ จังหวัดอุตรดิตถ์ และจังหวัดสุโขทัย ทางเครือข่ายฯ ก็ส่งทีมอาสามัครไปช่วยเหลือ เช่นเดียวกันเมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดนครราชสีมา ทางเครือข่ายก็ส่งอาสาสมัครไปช่วยเหลือ
จากการไปช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยต่างๆ เกือบทุกภูมิภาค คณะทำงานเครือข่ายฯได้ถอดบทเรียนการทำงานพบว่า การช่วยเหลือตามลักษณะที่ปฏิบัติกันอยู่นั้นไม่มีระบบที่ชัดเจนซึ่งจะหาความยั่งยืนได้ยาก ต่อมาจึงได้ร่วมกันจัดทำ“โครงการพัฒนาระบบและโครงข่ายการจัดการภัยพิบัติด้วยพลังสังคมพื้นที่ภาคใต้” เสนอของบประมาณจาก สำนักสุขภาวะชุมชน(สำนัก3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อมาขับเคลื่อนงานในพื้นที่นำร่องโดยกำหนดการทำงานในลักษณะโครงข่ายฯ ระยะเวลา 3 ปี มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาระบบการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนท้องถิ่นผ่านการปฏิบัติการจริงในพื้นที่ในระดับตำบล และระดับเครือข่าย
โดยมีพื้นที่เป้าหมายในการทำงาน 5 ภูมินิเวศน์ 32 ตำบล เริ่มจาก 1. ภูมินิเวศน์เทือกเขาพะโต๊ะ-ลุ่มน้ำหลังสวน จังหวัดชุมพร มี 7 ตำบล ประกอบด้วย ต.วังตะกอ ต.พ้อแดง ต.ท่ามะพลา ต.หาดยาย ต.บ้านควน ต.บางน้ำจืด และ ต.ฉวี 2. ภูมินิเวศน์เทือกเขาสก อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี มี 5 ตำบล 1 เทศบาล ประกอบด้วย ต.พนม ต.พลูเถื่อน ต.คลองศก ต.ต้นยวน ต.คลองชะอุ่น และเทศบาลพนม 3. ภูมินิเวศน์เทือกเขาบรรทัด จังหวัดตรัง มี 3 ตำบล ประกอบด้วย ต.บ้านโพ ต.นาโยงใต้ และ ต.นาท่ามใต้ 4. ภูมินิเวศน์ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา จังหวัดสงขลา มี 9 ตำบล ประกอบด้วย ต.บ้านขาว ต.ตะเครียะ ต.บ้านใหม่ ต.ระโนด ต.ระวะ ต.กระแสสินธ์ ต.เชิงแส ต.โรง และ ต.เกาะใหญ่ 5. มีพื้นที่เพิ่มขึ้นขณะขับเคลื่อนงาน คือ ภูมินิเวศน์ป่าพรุควนเคร็ง มีจำนวน 8 ตำบล ประกอบด้วย ต.เกาะขันธ์ ต.นางหลง ต.บ้านตูล ต.ขอนหาด ต.เคร็ง ต.ชะอวด ต.วังอ่าง และ ต.ท่าเสม็ด
ภาพรวมงานขับเคลื่อนการจัดการภัยพิบัติระดับภูมินิเวศน์ 5 ภูมินิเวศน์
1. ภูมินิเวศน์ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา จังหวัดสงขลา
ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เป็นพื้นที่คาบเกี่ยว 3 จังหวัด คือ สงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช โดยพื้นที่ดังกล่าวมักจะเจอภาวะภัยพิบัติหนักๆ คือ น้ำท่วม พายุ ภัยแล้ง และดินถล่มบางพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาตอนบน รอยต่อจังหวัดนครศรีธรรมราชในพื้นที่ อำเภอระโนด อำเภอกระแสสินธุ์ ทางเครือข่ายการจัดการภัยพิบัติจากธรรมชาติพื้นที่ภาคใต้ ได้ประสานความร่วมมือกับผู้บริหารท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และแกนนำชุมชน มาร่วมจัดการภัยพิบัติในระดับภูมินิเวศน์โดยมีตำบล เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 9 ตำบล จาก 2 อำเภอ คือ ระโนด และกระแสสินธุ์
ผลการดำเนินงาน
1. พื้นที่ตำบลจำนวน 9 ตำบล ได้จัดทำข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว
2. มีการจัดทำแผนที่กำหนดจุดดาวเทียม(gis) นำร่องที่ตำบลบ้านขาว
3. จัดตั้งศูนย์ประสานงานการจัดการภัยพิบัติระดับภูมินิเวศน์ที่ตำบลบ้านขาวโดยมีกลไกการทำงานอย่างชัดเจน
4. มีการพัฒนาอาสาสมัครจัดการภัยพิบัติจำนวน 129 คน
5. ยกระดับอาสาสมัครจัดการภัยพิบัติชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วจำนวน 39 คน
6. จัดตั้งกองทุนการจัดการภัยพิบัติระดับภูมินิเวศน์จำนวน 1 กองทุน
7. จัดตั้งศูนย์วิทยุสื่อสาร(ว.แดง) จำนวน 4 ศูนย์ คือ ศูนย์กระแสสินธุ์ ศูนย์ระโนด ศูนย์บ้านขาว ศูนย์เกาะใหญ่ โดยมีบ้านขาวเป็นศูนย์แม่ข่าย มีลูกข่ายจำนวน 35 สถานี
8. มีอุปกรณ์เครื่องมือในการจัดการภัยพิบัติประจำศูนย์ประสานงาน คือ เรือพร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 3 ลำ เสื้อชูชีพ จำนวน 25 ตัว
2. ภูมินิเวศน์เทือกเขาสก
เทือกเขาสกตั้งอยู่อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเทือกเขาที่แบ่งเขตระหว่างฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่เป็นภูเขาสูงชัน และมีแม่น้ำลำห้วยระหว่างภูเขาหลายสาย ปัญหาภัยพิบัติที่ผ่านมาคือ น้ำท่วมไหลหลาก ดินโคลนถล่ม บทเรียนที่ชุมชนเคยเจอหนักคือ น้ำท่วมดินโคลนถล่ม พ.ศ. 2540 และปัจจุบันสภาพดินมีรอยแยกตามไหลเขาหลายพื้นที่ และเมื่อปี 2553 ก็เกิดน้ำท่วมไหลหลากพร้อมมีดินถล่มบางพื้นที่ ทางผู้นำท้องที่ ผู้บริหารท้องถิ่น และแกนนำชุมชนส่วนหนึ่งก็เป็นคณะทำงานเครือข่ายแผนแม่บทชุมชนพึ่งตนเองภาคใต้เดิม จึงได้มีการประสานงานจัดทำโครงการการจัดการภัยพิบัติ โดยจัดตั้งศูนย์ประสานงานการจัดการภัยพิบัติภูมินิเวศน์เทือกเขาสก มีพื้นที่ตำบลจำนวน 5 ตำบล
ผลการดำเนินงาน
1. พื้นที่ตำบลจำนวน 5 ตำบล ได้จัดทำข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว
2. มีการจัดทำแผนที่กำหนดจุดดาวเทียม(gis) นำร่องที่ตำบลคลองชะอุ่น
3. จัดตั้งศูนย์ประสานงานการจัดการภัยพิบัติระดับภูมินิเวศน์ที่ตำบลพนม โดยมีกลไกการทำงานอย่างชัดเจน
4. มีการพัฒนาอาสาสมัครจัดการภัยพิบัติจำนวน 92 คน
5. มีการพัฒนาอาสาสมัครเยาวชนจัดการภัยพิบัติจำนวน 64 คน
6. ยกระดับอาสาสมัครจัดการภัยพิบัติชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วจำนวน 19 คน
7. จัดตั้งกองทุนการจัดการภัยพิบัติระดับภูมินิเวศน์จำนวน 1 กองทุน
8. จัดตั้งศูนย์วิทยุสื่อสาร(ว.แดง) จำนวน 3 ศูนย์ คือ ศูนย์คลองชะอุ่น ศูนย์คลองศก ศูนย์พนม โดยมีพนมเป็นศูนย์แม่ข่าย มีลูกข่ายจำนวน 98 สถานี
9. มีอุปกรณ์เครื่องมือในการจัดการภัยพิบัติประจำศูนย์ประสานงาน คือ เรือพร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 2 ลำ เสื้อชูชีพ จำนวน 25 ตัว เชือก 25 เส้น
10. มีการซ้อมแผนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยเรื่อง น้ำท่วม/ดินถล่ม ร่วมกับภาคีอื่นๆ จำนวน 1 ครั้ง
3. ภูมินิเวศน์ลุ่มน้ำหลังสวน-เขาพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร
เทือกเขาพะโต๊ะและลุ่มน้ำหลังสวนเป็นพื้นที่ที่เชื่อมต่อกันโดยพะโต๊ะเป็นแหล่งต้นน้ำ หลังสวนเป็นพื้นที่รับน้ำก่อนที่จะผันน้ำลงสู่ทะเลอ่าวไทย ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยคือ น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม ซึ่งช่วงหลังพบว่าบางปีมีน้ำท่วมถึง 3 ครั้ง ทางคณะทำงานได้ร่วมจับมือกันเป็นเครือข่ายจัดตั้งศูนย์ประสานงานการจัดการภัยพิบัติระดับภูมินิเวศน์ โดยมีตำบลเข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 7 ตำบล
ผลการดำเนินงาน
1. พื้นที่ตำบลจำนวน 7 ตำบล ได้จัดทำข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว
2. มีการจัดทำแผนที่กำหนดจุดดาวเทียม(gis) นำร่องที่ตำบลพ้อแดง
3. จัดตั้งศูนย์ประสานงานการจัดการภัยพิบัติระดับภูมินิเวศน์ที่ตำบลพ้อแดง โดยมีกลไกการทำงานอย่างชัดเจน
4. มีการพัฒนาอาสาสมัครจัดการภัยพิบัติจำนวน 133 คน
5. จัดตั้งกองทุนการจัดการภัยพิบัติระดับภูมินิเวศน์จำนวน 1 กองทุน
6. จัดตั้งศูนย์วิทยุสื่อสาร(ว.แดง) จำนวน 4 ศูนย์ คือ ศูนย์ฉวี ศูนย์พ้อแดง ศูนย์ท่ามะพลานย์ทุ่งตะโก โดยมีท่ามะพลาเป็นศูนย์แม่ข่าย มีลูกข่ายจำนวน 38 สถานี
7. มีอุปกรณ์เครื่องมือในการจัดการภัยพิบัติประจำศูนย์ประสานงาน คือ เรือพร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 2 ลำ เสื้อชูชีพ จำนวน 30 ตัว เชือก 30 เส้น
4. ภูมินิเวศน์เทือกบรรทัด จังหวัดตรัง
เทือกเขาบรรทัด จังหวัดตรัง มีลักษณะเป็นที่สูงลาดเอียงมักจะมีภัยพิบัติในพื้นที่บ่อย โดยเฉพาะน้ำท่วม ดินโคลนถล่ม ทางเครือข่ายฯได้ประสานงานกับพื้นที่ให้จัดทำศูนย์ประสานงานการจัดการภัยพิบัติระดับภูมินิเวศน์
ผลการดำเนินงาน
1. พื้นที่ตำบลจำนวน 3 ตำบล ได้จัดทำข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว
2. จัดตั้งศูนย์ประสานงานการจัดการภัยพิบัติระดับภูมินิเวศน์ที่ตำบลนาท่ามใต้ โดยมีกลไกการทำงานอย่างชัดเจน
3. มีการพัฒนาอาสาสมัครจัดการภัยพิบัติจำนวน 123 คน
4. จัดตั้งศูนย์วิทยุสื่อสาร(ว.แดง) จำนวน 3 ศูนย์ คือ ศูนย์นาท่ามใต้ ศูนย์บ้านโพธิ์ ศูนย์นาโยงใต้ โดยมีนาท่ามใต้เป็นศูนย์ -แม่ข่าย มีลูกข่ายจำนวน 20 สถานี
5. มีอุปกรณ์เครื่องมือในการจัดการภัยพิบัติประจำศูนย์ประสานงาน คือ เรือพร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 4 ลำ เสื้อชูชีพ จำนวน 25 ตัว เชือก 25 เส้น
5. ภูมินิเวศน์ป่าพรุควนเคร็ง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ป่าพรุควนเคร็งมีลักษณะเป็นป่าพรุพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมขัง โดยภาพรวมมีพื้นที่ 215,000 ไร่ ซึ่งรับน้ำจากเทือกเขาบรรทัดผ่านอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใสและอ่างเก็บน้ำป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง ถือได้ว่าป่าพรุงควนเคร็งเป็นธนาคารน้ำของลุ่มน้ำปากพนังและลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา แต่พื้นที่ป่าพรุดังกล่าวก็มีภัยพิบัติอย่างรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยคือ น้ำท่วม ไฟไหม้ ภัยแล้ง และพายุ จากบทเรียนภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทำให้ผู้นำท้องที่และชุมชนได้ลุกขึ้นมาจัดการภัยพิบัติในระดับพื้นที่ ต่อมาพบว่าการช่วยเหลือกันเองในระดับตำบลบางครั้งไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้ จำเป็นจะต้องถักทอกันเป็นเครือข่ายฯ จึงได้รวมกันเป็นภูมินิเวศน์ – ป่าพรุควนเคร็ง และเป็นที่ตั้งของเครือข่ายการจัดการภัยพิบัติจากธรรมชาติพื้นที่ภาคใต้
ผลการดำเนินงาน
1. พื้นที่ตำบลจำนวน 8 ตำบล ได้จัดทำข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว
2. จัดตั้งศูนย์ประสานงานการจัดการภัยพิบัติระดับภูมินิเวศน์ที่ตำบลเกาะขันธ์ โดยมีกลไกการทำงานอย่างชัดเจน
3. มีการพัฒนาอาสาสมัครจัดการภัยพิบัติ จำนวน 60 คน
4. มีการพัฒนาอาสาสมัครเยาวชนจัดการภัยพิบัติ จำนวน 148 คน
5. มีการพัฒนาอาสาสมัครชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว จำนวน 12 คน
6. จัดตั้งกองทุนข้าวเปลือกจากการฟื้นฟูนาร้าง จำนวน 1 กองทุน
7. จัดตั้งศูนย์วิทยุสื่อสาร(ว.แดง) จำนวน 4 ศูนย์ คือ ศูนย์ท่าเสม็ด ศูนย์บ้านตูล ศูนย์เคร็ง ศูนย์เกาะขันธ์ โดยมีเกาะขันธ์ เป็นศูนย์แม่ข่าย มีลูกข่ายจำนวน 46 สถานี
8. มีอุปกรณ์เครื่องมือในการจัดการภัยพิบัติประจำศูนย์ประสานงาน คือ เรือพร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 4 ลำ เสื้อชูชีพ จำนวน 40 ตัว เชือก 40 เส้น เลื่อยยนต์ 2 เครื่อง โรงสีชุมชน 3 โรง
ที่มา : สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สน.3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ