เกษตรพอเพียง เคียงดอกแค

 

หลังจากเล่าขานเรื่องราวของหมอหลี หมอยาอายุราว 80 ปีไปแล้ว ในรั้วบ้านหมอหลี คือพื้นที่สีเขียวราว 5 ไร่ เขียวและสงบในตำบลบ้านหม้อ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เจ้าของคือลูกเขยของหมอหลี ผู้ที่มีหน้าที่ขึ้นเขาลงทะเลหาวัตถุดิบแล้วขนกลับมาให้ภรรยา แม่ยาย และพ่อตาปรุงเป็นยาต่อ ไปนั่นเอง

เมืองมน แสนธรรมพล หรือโย วัย 45 ปี เป็นชาวอุบลราชธานีโดยกำเนิด แต่มาเป็นลูกเขยบ้านหม้อ และเป็นเจ้าของแหล่งเรียนรู้เกษตรพอเพียง เขาเป็นลูกชาวนาร้อยเปอร์เซ็นต์ เรียบจบด้านเกษตรจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วไปเป็นพนักงานกินเงินเดือนบริษัทโภคภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดของประเทศอยู่สิบกว่าปี เกี่ยวเก็บความรู้มาทุกกระบวนการผลิต การตลาดและธุรกิจ จนออกมาทำกิจการส่วนตัว เขาเลือกเลี้ยงกุ้งกับบริษัทโภคภัณฑ์ยักษ์ใหญ่รายเดิม แต่ประสบภาวะขาดทุนเป็นล้าน จึงตัดสินใจเดินทางมาบ้านหม้อ พร้อมได้แรงหนุนจากน้องเขยให้มาทำอะไรสักอย่างบนที่ดินเปล่าข้างบ้าน

“สายป่านเรามันสั้น สู้เขาไม่ได้ เหมือนโชห่วยกับห้างยักษ์ ตอนนั้นชีวิตติดลบ ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว มาได้เห็นที่ดินตรงนี้ เราก็อยากทำที่ดินว่างๆ ให้เป็นประโยชน์ตามความรู้ที่เรียนมาเลย จัดการยกร่องลงไม้หลัก ไม้ยืนต้นไว้ก่อน อย่างส้มโอสลับกับไม้ระยะสั้น เช่น พริก ข่า มะกรูด ตะไคร้ ก็ลงไว้ เป็นรายได้ รอต้นใหญ่ หลักเศรษฐกิจพอเพียงที่เรารู้กันนั่นแหละ” เมืองมนเล่า

ที่โยเลือกส้มโอ เนื่องจากเหตุผลง่ายๆ ว่า ทุกคนรอบตัวต่างชอบกิน เขาเองก็ด้วย เพียงเท่านี้ก็พอต่อการลงแรง จากนั้นต่อด้วยน้อยหน่าพันธุ์เพชรปากช่อง ก่อนหน้านั้นมีมะปรางด้วย แต่ไม่สำเร็จ เพราะไม่ถูกกับดินในบ้านหม้อ

ในปี 2551 ส้มโอขาวใหญ่เกือบจะได้เก็บกิน แต่โชคร้ายเจอน้ำท่วมมิดสวน ส้มโอจึงตายหมด และสิ่งที่มากับน้ำคราวนั้น ทำเอาโยซวนเซไปนิดหน่อย แล้วก็ลุกขึ้นมาปลูกกล้าใหม่ในทันทีที่ตั้งตัวติด “มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ใครจะไปห้ามมันได้ ท่วมได้เราก็ปลูกใหม่ได้ เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ไม่ไปโทษเทวดาฟ้าดิน เรื่องพรรค์นี้เจอกันทั่วโลก ตัวเล็กอย่างเราจะรอดได้ยังไง” โยเล่า

กาลเวลาผ่านไป 6 ปี สำหรับชีวิตชาวสวน ชาวไร่ โยยอมรับว่า ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ยกเว้นรายได้เล็กๆ น้อยๆ จากไม้ระยะสั้นอย่าง ข่า ตะไตร้ ใบกะเพรา พริก และไม้ที่ไม่ต้องดูแลมาก แต่มีดอกให้ชนิดเก็บแทบไม่ทัน คือ ดอกแค ขายได้ 5 บาท 10 บาท แม้จะเป็นรายได้เล็กน้อย แต่เมื่อมารวมกัน ทำให้โยมีกำลังใจทำต่อไปได้ พร้อมสัจธรรมอีกข้อหนึ่งในชีวิต

“ต้องทำความจริงสวนกับวัย ยิ่งเราแก่ขึ้น ก็ยิ่งต้องพึ่งพวกต้นเล็กเหล่านี้ เพราะกำลังเราจะต้องถดถอยไปเรื่อยๆ ช่วงเรายังมีกำลัง เราก็ต้องเอาจากล่างขึ้น แต่พอเราแก่ ก็ต้องเอาจากต้นลง” โยเล่าปรัชญาของตัวเอง

รายได้หลักจริงๆ ของโยมาจากดอกแค เขาสมมุติให้ฟังว่า มีดอกแค 25 ต้น เก็บได้วันละ 20 กิโลกรัม ขายได้เงินวันละ 200 เดือนละ 5,000 ได้ปีละ 50,000 ปีหนึ่งจะเก็บดอกได้ 10 เดือน ยกเว้น หน้าหนาว 2 เดือน ข้อดีของดอกแค คือออกดอกทุกวัน มีข้อแม้อย่างเดียวคือ ต้องตื่นมาเก็บให้ทัน ไม่อย่างนั้นจะบานเสียของ แต่คนส่วนใหญ่มองข้ามไปปลูกไม้ผลที่ยากๆ ต้องรอนาน

ดอกแคของโยส่งตลาดให้แม่ค้าขายข้าวแกงทุกวัน ไม่เคยมีปัญหาเรื่องตลาดเพราะก่อนจะลงมือปลูก เขาได้ไปตระเวนดูตลาดว่า อะไรมีไม่มี อะไรแพงอะไรถูก ไม่ใช่นึกอยากปลูกอะไรก็ปลูก จะผลิตอะไร เท่าไหร่ และขายให้ใคร ต้องรู้ให้หมดก่อนลงมือ

หลังเก็บดอกแคเสร็จ เวลาที่เหลือ ต้องเอามาดูแลบรรดาไม้ผลต่างๆ ทั้งรดน้ำ ใส่ปุ๋ย ประคบประหงม ให้ดีที่สุด รายได้ต่อเดือน 5,000 บาท นั้น โยอยู่ได้สบาย เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมาก ผักก็ปลูกกินเอง ทั้งพริก ทั้งตำลึง พริก ปลาก็เลี้ยงเอง มีปลาดุก ปลานิล ปุ๋ยที่ใช้ก็ใช้ขี้วัว ใช้แกลบ มาบำรุงดิน ปุ๋ยเคมียอมรับว่า ใช้บ้าง

“ทุกวันนี้มี 5,000 ผม เหลือ 5,000 สังคมของผม เป็นแบบนี้ ไม่ขยับก็คือไม่เสีย” โยพูดอย่างภาคภูมิใจ

ณ เวลานี้ ชีวิตของโยอยู่ได้ด้วยความพอเพียง โดยเลือกที่จะมองท้องฟ้า มากกว่าเข็มนาฬิกา เขาตื่นตี 4 นอน 2 ทุ่ม ตรงเวลาอย่างนี้ทุกวัน เมื่อถามว่า ทำไมพืชผลของโย จึงขายได้ เขาบอกว่า ทำเลที่ดินค่อนข้างกลางเมืองอย่างนี้ เป็นตัวโฆษณาชั้นดี ใครวิ่งรถผ่านไป ผ่านมา เห็นหมดว่า เขาปลูกอะไร ใครสนใจตัวไหน ก็จอดรถ เดินเข้ามาคุยกัน หมู่บ้านจัดสรรที่อยู่ติดกันยื่นหน้ามาก็รู้หมด ว่า เขาปลูกอะไร

ขณะที่ไม้ผลที่ตั้งใจไว้แต่แรกอย่าง ส้มโอ อีกไม่นานก็ใกล้ได้เก็บเกี่ยว ทั้งยังมีความคิดฝันว่า จะส่งไม้ผลออกไปเมืองนอกในอนาคตอันใกล้ โดยดูลู่ทางไว้หมดแล้ว “คนจะทำเกษตร มันต้องใจรัก ใจรักไม่พอ ต้องศรัทธาด้วย เชื่อในสิ่งที่ทำ” โยสรุป

 

 

ที่มา : สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สน.3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code