อุดมการณ์สู่การจัดการกระบวนการใช้ความรู้ขับเคลื่อนสังคม
ถึงแม้วันนี้…ความใฝ่ฝันของผมที่อยากจะเห็นการปฏิรูปประเทศไทย เพื่อให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ที่สุดในโลก จะไม่อาจฝากความหวังไว้กับรัฐบาล หรือนักการเมืองคนใดที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย
เพราะแทบจะมองไม่เห็นการขับเคลื่อนใดๆ นอกจากรายงานข่าวเป็นระยะๆ เกี่ยวกับเสียงเรียกร้องของหัวหน้ารัฐบาล ขอให้พรรคการเมืองต่างๆ เห็นพ้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” โดยอ้างว่า มีนัยสำคัญต่อการปฏิรูปการเมือง เพื่อสนองความต้องการของประชาชน และตอบคำถามสถานการณ์การเมืองที่ปรารถนาเห็นความสมานฉันท์กลับคืนสู่สังคมไทย
แต่ผมค่อนข้างแน่ใจแล้วครับว่า ประเทศไทยจะได้รับการผลักดัน ขับเคลื่อน เปลี่ยนแปลง ปฏิรูป สู่สังคมที่น่าอยู่ เป็นที่อิจฉาอย่างมากมายเหลือเชื่อเป็นสิ่งมหัศจรรย์ กระทั่งทั่วโลกต้องหันกลับมามองด้วยความสนใจอย่างแน่นอน!!!
ไม่มี “ธง” ให้ฟัน และไม่ต้องให้ใครมาคอนเฟิร์ม ผมก็ยืดอาการันตีได้ว่า ปฏิรูปประเทศไทยเป็นจริงแน่ นับจากวันนี้เป็นต้นไป
ผมไม่ได้เบลอหรือลืมตัวไปแย่งบท “นักการเมือง” สร้างภาพ “เซลล์แมน” ขายฝันนะขอรับ
แต่ความมั่นใจ และรู้สึกว่าสบายใจขึ้นเป็นกอง ล้วนเกิดจากการเฝ้าติดตาม “สแกน” ดูการขับเคลื่อนของเครือข่ายสถาบันทางปัญญา เพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้เกิดสุขภาวะที่ดีในหมู่คนไทย ซึ่งหมายถึงสังคมกินดี อยู่ดี มีความสุข มีธรรมาภิบาล แล้วประจักษ์แจ้งแก่สายตาและโสตประสาทเต็ม 2 รูหูว่า
เรามีทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ ที่สำคัญ มีความมุ่งมั่น จริงจัง จริงใจ กระจัดกระจายอยู่ทั่วสังคมไทย พร้อมที่จะร่วมมือร่วมใจนำองค์ความรู้ที่มีอยู่ออกมาใช้และปฏิบัติให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่อย่างแท้จริง…ไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือมองไม่เห็น ไม่ว่าจะมีความช่วยเหลือสนับสนุนจากฝ่ายรัฐหรือไม่มีเลยก็ตาม
เอาล่ะ..สาธยายด้วยตัวหนังสือโดยไม่มีของจริงหรือหลักฐานมาอ้างอิง คงไม่มีใครยอมเห็นด้วยหรือคล้อยตาม จนสามารถเกิดกำลังใจเหมือนผมว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” แน่ ผมจึงขอชี้ทางหรือเชิญชวนผู้สนใจหรือรู้สึกว่าบ้านเมืองเราต้องมีการเปลี่ยนแปลง (เสียที) ไปนั่งคุยกับ รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสักครั้ง..แล้วคุณจะรู้สึกว่า เราสามารถฝันและหวังเห็นการปฏิรูปประเทศไทย ตราบเท่าที่เรามีความรู้ มีสติปัญญา ที่สำคัญมีอุดมการณ์อันแน่วแน่ที่จะทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง
ความพยายามในการบริหารจัดการขับเคลื่อน “อุดมการณ์” ของตนเองให้เป็นจริงในทางปฏิบัตินั่นเอง คือ ตัวอย่างการใช้กระบวนการความรู้ที่มีอยู่ของอาจารย์ณรงค์ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมผู้ใช้แรงงานในประเทศไทยให้สามารถยืนอยู่บนสองขาของตนเอง โดยทุกคนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ถึงปรารถนา ปลดพันธนาการความเป็น “คนจน” ได้อย่างยั่งยืน
เป็นที่ทราบกันดีว่า อาจารย์ณรงค์เป็น “ผู้นำ” สำคัญและความยากจนในประเทศ เห็นได้จากหนังสือและผลงานด้านวิชาการต่างๆ ของอาจารย์ที่จะเน้นปัญหาปากท้อง และเศรษฐกิจของคนระดับผู้ใช้แรงงาน หรือบรรดาลูกจ้าง นอกจากนั้น อาจารย์ณรงค์ยังเคยเป็นที่ปรึกษาวางนโยบายดูแลเอาใจใส่คนระดับรากหญ้า ของพรรคไทยรักไทยจนเป็นที่กล่าวขานถึงศัพท์ “ประชานิยม”
แต่ประชานิยมของอาจารย์ณรงค์แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากประชานิยมของนักการเมือง เพราะความหมายและอุดมการณ์ประชานิยมของอาจารย์คือ รัฐบาลต้องนิยมประชาชน หรือเห็นประชานเป็นจุดศูนย์กลางการตัดสินใจ ในขณะที่นักการเมืองบิดเบือน “ประชานิยม” ให้กลับกลายเป็นทำทุกอย่างให้ประชาชนนิยมตัวเองและพรรคการเมืองที่ตนเองสังกัดโดยไม่ใส่ใจต่อผลกระทบที่จะตามมา
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่พบว่าอุดมการณ์เพื่อประชาชนถูกหยิบไปใช้แบบผิดรูปผิดร่าง บวกกับการทำงานวิจัยศึกษาหาเหตุผล “ทำไมจึงยากจน-คนจนคือใคร” อาจารย์ณรงค์พบว่า สังคมไทยต้องก้าวให้พันประชานิยม สู่สังคมสวัสดิการ
ความหมาย “สังคมสวัสดิการ” ไม่ใช่สังคมนิยม แต่เป็นสังคมที่จะต้องทำให้คนจนและคนด้อยโอกาสในสังคมไทย ข้ามพ้นมิติความจน ไปสู่มิติการกินดี อยู่ดี มีสุข และมีสิทธิ์ เพราะคำว่า “จน” ไม่ได้จำกัดเฉพาะรายได้ แต่ยังมีผลต่อเนื่องคือ จนศักดิ์ศรี จนอำนาจจนทรัพย์สิน จนโอกาส
การนำสังคมไทยสู่สังคมสวัสดิการ อาจารย์ณรงค์ใช้เวลาศึกษา ลงไปคลุกคลีกับคนจนในภาคของผู้ใช้แรงงานนับทศวรรษโดยไมเคยร้องแลกแหกกระเซอว่า ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลหรือหน่วยราชการ เพราะอาจารย์ตระหนักในข้อเท็จจริงว่า สังคมไทยไม่พร้อมให้รัฐบาลเป็นผู้จัดการสังคมสวัสดิการ และ “รอ” รัฐบาลลงมือก็คงจะไม่สำเร็จ เพราะรัฐบาลถูกครอบด้วยพรรคการเมือง และพรรคการเมืองต้องการประชานิยม
เมื่อโจทย์ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ต้องพึ่งพาตนเองในการขับเคลื่อนอุดมการณ์สังคมสวัสดิการ อาจารย์ณรงค์ตัดสินใจบอกกับทุกคนว่า เมื่อรัฐบาลสังคมสวัสดิการ อาจารย์ณรงค์ตัดสินใจบอกกับทุกคนว่า เมื่อรัฐบาลไม่มีทรัพย์สินและไม่มีความพร้อมพอที่จะสร้างรัฐสวัสดิการ สิ่งที่ทำได้คือ รัฐทำได้แค่ไหนก็ขอให้เต็มที่ เอกชนก็ต้องดูแลลูกจ้างของตนเองอยู่แล้ว ที่เหลืออยู่คือสังคมต้องดูแลตนเองให้เต็มที่เช่นกัน
จากนั้น อาจารย์ก็ตั้งโมเดล หรือแผนนำร่องในการแก้โจทย์ปัญหาความจน ณ ชุมชนแห่งหนึ่ง เริ่มจากหาผู้นำที่มีความรู้สึกอยากหลุดพ้นความจนจำนวนเพียง 50 คน ด้วยสมมุติฐาน 2 ข้อ นั่นคือ ต้องลดรายจ่าย ต้องมีกินมีใช้ แล้วใส่องค์ความรู้ต่างๆ ที่จะทำให้สมมุติฐานทั้งสองประการเป็นจริง เพราะการลดรายจ่ายก็คือการเพิ่มรายได้ในทันที ส่วนการมีกินมีใช้ก็ด้วยวิธีการชี้ช่องทางในการทำมาหากิน
ที่น่าสนใจที่สุดคือ การตั้งธนาคารลูกจ้าง
ธนาคารที่คนจนร่วมมือร่วมใจตั้งกันขึ้น บริหารกันเอง โดยมีเงื่อนไขการกู้ยืมเงินแบบถูกใจ สสส.(สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ)ที่สุด นั่นคือ ต้องลด ละ เลิกเหล้าและบุหรี่
ชุมชนทดลองของอาจารย์ณรงค์ ตามอุดมการณ์สังคมสวัสดิการ ที่เริ่มจากคน 50 คน วันนี้ขยายเครือข่ายเกือบหมื่นคนแล้วและเดือนธันวาคมนี้ “ธนาคารลูกจ้าง” ก็จะเปิดอย่างเป็นทางการ หลังจากบริหารจัดการในรูปแบบสหกรณ์ออมทรัพย์ เปิดให้การกู้ยืมเงิน และเบิกสินค้าไปจำหน่ายเพื่อเพิ่มรายได้ประสบความสำเร็จเป็นที่พอใจมาแล้ว
คนเคยจนเหล่านี้ สร้างสังคมสวัสดิการด้วยตนเอง สังคมที่ไม่ใช่มุมองของการสงเคราะห์ และไม่ใช่แบมือรอความหวังจากรัฐบาลน่าปลื้มและน่าปรบมือดังๆ ให้กับผู้มุ่งมั่นอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าใช่ไหมครับ
เอ..โครงการล้างหนี้นอกระบบของรัฐบาลก็น่าจะทันกลับมาดูเป็นตัวอย่างนะครับว่า การใช้ปัญญาแก้ปัญหากับการใช้เงินตรา (ชาวบ้าน) ซื้อปัญหานั้น มันยั่งยืนต่างกันโดยสินเชิง
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Update 04-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์