อุดช่องว่าง “คนไทยไม่ไร้สิทธิ” สสส. สานพลัง จัดเวทีบูรณาการแก้ปัญหาคนไทยไร้สิทธิ ตั้งเป้าปี 69 ขยายหน่วยเก็บ DNA 13 เขต คืนสิทธิกลุ่มเปราะบาง
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
ภาพประกอบจาก สสส.

อุดช่องว่าง “คนไทยไม่ไร้สิทธิ” สสส. สานพลัง ยธ.-สปสช.-จุฬาฯ-มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย-ภาคีโรงพยาบาล 30 แห่ง เดินหน้ายกระดับ ตั้งเป้าปี 69 เปิดหน่วยเก็บ DNA ครบ 13 เขต ลดเวลาพิสูจน์จาก 10 ปี เหลือ 3-12 เดือน คืนสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 11 ธ.ค. 2568 ที่โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น นาดา ดอนเมือง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย และภาคีเครือข่าย จัดเวทีบูรณาการแก้ปัญหาคนไทยไร้สิทธิ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาคนไทยตกหล่นครอบคลุมทั้งมิติสุขภาพ กฎหมาย ทะเบียนราษฎร และสวัสดิการของรัฐ เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการคืนสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้กลุ่มเปราะบางอย่างเท่าเทียม

นายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ปัญหาคนไทยไร้สิทธิสถานะเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในหลายมิติ ทั้งการเข้าถึงบริการของรัฐ การศึกษา การสาธารณสุข โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่ตกหล่นทางทะเบียนราษฎร ส่งผลให้บุคคลเหล่านี้ถูกจำกัดสิทธิตามกฎหมาย และไม่ได้รับความคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรม มีนโยบายเชิงรุกในการแก้ไขปัญหา โดยการสนับสนุนกลไกการเก็บสิ่งส่งตรวจทางพันธุกรรม (DNA) ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ตลอดจนผลักดันหลักเกณฑ์ใหม่ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2567 เพื่อเร่งรัดการแก้ปัญหาสถานะบุคคลและสัญชาติให้กลุ่มคนตกหล่นและบุตรที่เกิดในไทย ครอบคลุมเป้าหมาย 483,626 คน โดยลดขั้นตอนและระยะเวลาการพิจารณาลง ซึ่งสอดคล้องกับแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (2566–2570) ที่ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงความยุติธรรมและคุ้มครองสิทธิกลุ่มเปราะบางด้านสถานะบุคคล
“กระทรวงยุติธรรมจะเชื่อมโยงการทำงานระหว่างทะเบียนราษฎร หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ให้เป็นระบบเดียวกัน โดยมอบหมายหน่วยงานในสังกัดดำเนินงานเชิงรุก ทั้งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่ตรวจพิสูจน์ DNA ยืนยันตัวบุคคล กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพที่ช่วยเหลือประชาชนด้านสิทธิ สำนักงานยุติธรรมจังหวัดที่ประสานให้คำปรึกษากฎหมายในพื้นที่ เพื่อให้ “ระบบยุติธรรมอยู่ข้างประชาชน” ลดความซับซ้อนของขั้นตอนต่างๆ และป้องกันการเลือกปฏิบัติในการพิสูจน์สถานะบุคคล พร้อมขยายสู่การออกแบบกลไกเชิงระบบระดับนโยบายต่อไป” นายสิรภพ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม กล่าว

นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส. ขับเคลื่อนงานคนไทยไร้สิทธิผ่านการดำเนินโครงการพัฒนาเครือข่ายและกลไกระดับพื้นที่ เพื่อสร้างการเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ ตั้งแต่ปี 2564 โดยนำร่องร่วมกับเครือข่ายต่างๆ พัฒนาโรงพยาบาลให้มีบริการจัดเก็บ DNA ซึ่งดำเนินการแล้วในโรงพยาบาล 30 แห่ง ใน 22 จังหวัด มีผู้ได้รับผลประโยชน์แล้ว 4,169 คน ช่วยร่นระยะเวลาพิสูจน์สิทธิจากเดิมใช้เวลานานเป็น 10 ปี เหลือเพียง 3-12 เดือน เป้าหมายต่อไปคือเร่งขยายหน่วยเก็บ DNA ให้ครอบคลุมทั้ง 13 เขตของ สปสช. ปัจจุบันเปิดแล้ว 12 เขต คาดว่าจะครบในปี 2569 เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการคืนสิทธิให้คนไทย ไม่มีใครต้องไร้สิทธิ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลในการรักษาผู้ป่วยตกสำรวจก่อนที่จะมีบัตรประชาชน
“เวทีครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ในการยกระดับจากประสบการณ์จริงในพื้นที่ ผลักดันให้เกิดการทำงานทั้งระดับพื้นที่และระดับนโยบาย อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้กลุ่มเปราะบางสามารถพิสูจน์สถานะใกล้บ้าน ลดต้นทุน ลดเวลา และเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ควบคู่กับการวางรากฐานกลไกกลางด้านการพิสูจน์สิทธิ การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และการพัฒนางานใหม่เพื่อป้องกันการตกหล่นตั้งแต่ต้นทาง เช่น การเสริมระบบแจ้งเกิดในพื้นที่เปราะบาง เพื่อปิดช่องว่างที่ทำให้คนไทยรุ่นใหม่กลายเป็นคนไร้สิทธิ ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกลไกสำคัญในการคืนสิทธิของประชาชนให้เกิดขึ้นได้จริง ครอบคลุม และยั่งยืน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นางภรณี ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว

นายอนรรฆ พิทักษ์ธานิน ประธานคณะทำงานพัฒนาการเข้าถึงบริการสุขภาพกลุ่มคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน สปสช. กล่าวว่า ที่ผ่านมาแม้เครือข่ายภาคีจะสามารถ ช่วยเหลือคนตกหล่นให้ได้รับบัตรประชาชนได้จำนวนหนึ่ง แต่การแก้ปัญหาเป็นรายกรณีนั้นทำได้ยาก ล่าช้า และซับซ้อน ดังนั้นทุกฝ่ายจึงเห็นตรงกันว่าควรผลักดันการแก้ปัญหาในเชิงระบบควบคู่กันไป ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยบริการหรือโรงพยาบาลเครือข่ายภาคประชาชน และเครือข่ายภาควิชาชีพ

นางสาววรรณา แก้วชาติ มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย กล่าวว่า การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในฐานะแกนนำพื้นที่ และผู้ประสานงานระหว่างชุมชนกับรัฐเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้งานแก้ปัญหาคนไร้สิทธิเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง และยังช่วยตรวจสอบให้การดำเนินงานมีความโปร่งใส เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติทั้งนี้ คณะทำงานคนไทยไร้สิทธิฯ จะติดตามการทำงานและผลักดันข้อเสนอสำคัญให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก้ไขปัญหาร่วมกัน รวมถึงเปิดช่องทางการทำงานภายใต้กฎหมาย ให้กลุ่มผู้มีปัญหาทางทะเบียนเข้าถึงสิทธิการรักษา สามารถยื่นคำร้องขอเพิ่มชื่อและขอทำบัตรประชาชนได้ด้วยตนเอง เพื่อเข้าถึงสิทธิสุขภาพในทุกมิติ


