อาหารขยะ-น้ำอัดลมชี้ตัวการเบาหวาน โรคอ้วน

นักวิจัยหนุนปกป้องคนไทยจากโรคเบาหวาน กันป่วย ตาย พิการ ใช้เม็กซิโกเป็นตัวอย่างประเทศขึ้นภาษีอาหารขยะ น้ำอัดลม น้ำหวาน ชี้คนไทยกินน้ำตาลเพิ่ม ตัวการทำป่วย โรคไม่ติดต่อ

นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ นักวิจัยอาวุโส แผนงานเครือข่ายควบคุมโรคไม่ติดต่อ กล่าวว่า สภาคองเกรส ประเทศเม็กซิโก ได้ผ่านกฎหมายขึ้นภาษีอาหารขยะ ซึ่งได้รวมกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่ให้ความหวานต่างๆ ขึ้นภาษี 1 เปโซต่อลิตร และขนมขบเคี้ยวเพิ่มอีก ร้อยละ 8 โดยเรื่องดังกล่าว ถือเป็นตัวอย่างของประเทศที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของประชากรในระยะยาว

โดยประเทศเม็กซิโก ถือเป็นประเทศที่ประชากรดื่มน้ำอัดลมมากที่สุดในโลก และมีผลการศึกษาว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวาน มีความสัมพันธ์กับปริมาณการกินขนมขบเคี้ยวด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยนั้น พบว่า รัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เพื่อดูแลผู้ป่วยเบาหวาน โรคอ้วน ซึ่งมีโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง และทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร รวมทั้งความพิการจากโรค โดยโรคเหล่านี้มักเกิดจากพฤติกรรมการบริโภค และการไม่ออกกำลังกาย จึงจำเป็นต้องสร้างมาตรการทางสังคม เพื่อป้องกันในระยะยาว การขึ้นภาษีอาหารขยะ จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยป้องกันการบริโภคเกินพอดี เพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในระยะยาว

นางสาวสุลัดดา พงษ์อุทธา นักวิจัยแผนงานวิจัย นโยบายอาหารและโภชนาการเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมี พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 ที่รวมการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีรสหวานหลายประเภท แต่ยังเป็นการเน้นเก็บภาษีเพื่อเพิ่มรายได้รัฐ ทำให้อัตราการจัดเก็บ หรือยกเว้นภาษีในเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ไม่สอดคล้องกับปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาล ยังถือว่าถูกเก็บภาษีต่ำกว่าเครื่องดื่มที่ไม่เติมน้ำตาล และเครื่องดื่มบางประเภท ถูกเก็บในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราเพดานมาก โดยกรมสรรพสามิตยังไม่เคยมีการปรับอัตราภาษีมานานมาก ตั้งแต่มีการบัญญัติ พ.ร.บ. ซึ่งหากรัฐต้องการป้องกันสุขภาพประชาชน และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ก็สามารถปรับภาษีให้เต็มเพดานได้ และกำหนดอัตราภาษีที่จะจัดเก็บ โดยใช้ระดับปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มเป็นเกณฑ์ได้ เพื่อทำให้เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในปริมาณมาก และจะสร้างผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนได้มากกว่า อีกทั้งยังได้รับการจัดเก็บภาษีในอัตราที่เหมาะสม

ทพ.ญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าปริมาณการบริโภคน้ำตาล ทั้งทางตรงและทางอ้อมของคนไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2540-2552 นั้น มีแนวโน้มการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปี พ.ศ.2540 มีปริมาณการบริโภครวม 1.7 ตัน แต่ปี พ.ศ.2552 มีปริมาณการบริโภค 1.97 ตัน และยังพบว่าคนไทยได้รับน้ำตาลทางอ้อม จากเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาลชนิดต่างๆ จากปี พ.ศ.2540 อยู่ที่ร้อยละ 34 ในปี พ.ศ.2552 เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 46 ซึ่งสอดคล้องกับงบประมาณที่ผู้ประกอบการใช้ลงทุน ในด้านการตลาดและโฆษณา สำหรับอาหารในหมวดดังกล่าว หากเปรียบเทียบจะพบว่า เมื่อปี พ.ศ.2533 คนไทยจะต้องทำงาน 25 นาที เพื่อซื้อน้ำอัดลม 1 ขวด แต่เมื่อปี พ.ศ.2551 จะใช้เวลาทำงานเพียง 18 นาที เพื่อซื้อน้ำอัดลม 1 ขวดเท่านั้น

“การรณรงค์ให้ความรู้และสร้างความตระหนักเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่มีที่ใดในโลกที่ใช้มาตรการเดียวจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ผล ฉะนั้น มาตรการทางภาษีและราคา จึงถือเป็นกลไกสากลที่ได้รับการยอมรับ ว่ามีประสิทธิภาพและคุ้มค่าในการจัดการพฤติกรรมการบริโภคอาหารขยะ อย่างไรก็ตาม การจัดการพฤติกรรมการบริโภค จนเกินพอดีของประชาชนจำเป็นต้องอาศัยมาตรการจัดการปัจจัยทางราคา ร่วมกับมาตรการอื่นๆ ไปพร้อมกัน เพื่อลดปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังลง” ทพ.ญ.ปิยะดา กล่าว

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Shares:
QR Code :
QR Code