อาสาพาสุขใจ’ร่มเกล้าขับเคลื่อนหมู่บ้าน-จัดการบุหรี่
ที่มา : หนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ โดย กมล หอมกลิ่น โครงการสื่อสารสาธารณะนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ อีสานสร้างสุข มูลนิธิสื่อสร้างสุข
ภาพประกอบจากอีสานสร้างสุข
'อาสาพาสุขใจ' คือทีมจิตอาสาชุมชนที่เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการทำงานโครงการชุมชนร่มเกล้าลด ละ เลิกบุหรี่ สมาชิกทั้งหมดมาจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. โดยมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสุริโย ซึ่งเป็นหน่วยบริการสาธารณสุขในพื้นที่คอยเป็นพี่เลี้ยงประกบในการให้ข้อมูลและความรู้ก่อนที่จะเข้าไปทำงานกับชาวบ้าน
โครงการชุมชนร่มเกล้า ลด ละ เลิกบุหรี่ เป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือของชาวบ้านและหน่วยงานทุกภาคส่วนในพื้นที่ตำบลร่มเกล้า อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งได้เลือกเอาพื้นที่หมู่ที่ 2 และ 3 เป็นพื้นที่เป้าหมายเบื้องต้นในการทำงาน และมีงบประมาณของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเข้ามาหนุนเสริม เนื่องจากเห็นความตั้งใจของคณะทำงานซึ่งเป็นชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ด้วยเพราะพวกเขาต้องการเห็นชุมชนเดินหน้าในแบบที่ทุกคนร่วมกันกำหนด โดยเฉพาะกับปัญหาการสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกกับชุมชนมานาน แต่ที่ผ่านมาคนในชุมชนเองไม่ค่อยมองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา เนื่องจากเกิดความชินชา
เหมือนที่ พ่อหนูเดช โพธิ์สม ปราชญ์ชาวบ้านร่มเกล้าหมู่ที่ 2 ผู้ซึ่งเคยสูบบุหรี่จนพักหลังเริ่มรู้สึกได้ถึงสุขภาพที่ไม่เอื้อจนเลิกไปในที่สุด เล่าความหลังให้ฟังเมื่อครั้งเป็นหนุ่มว่า "การสูบยากับคนบ้านเรามันเป็นของคู่กัน เมื่อครั้งสมัยก่อนถ้านิมนต์พระมาก็ต้องแต่งขันหมากขันยา ถ้าไม่แต่งก็หาว่าไม่ทำตามฮีตตามคอง ไม่รู้จักเคารพ อีกทั้งเมื่อก่อนแมลงจำพวกยุง เหลือบ มันเยอะ ก็เลยต้องพกยาสูบเวลาเข้าป่าหรือออกไปทำงานนอกบ้าน" พ่อหนูเดชเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง
เวทีพูดคุยที่เรียกว่า 'สภาผู้นำชุมชน' ที่มีการจัดประชุมเพื่อล้อมวงสนทนาเดือนละ 1 ครั้ง คือหัวใจสำคัญในการทำงาน การพูดคุยเพื่อสะท้อนปัญหาอย่างออกรสชาติและตรงไปตรงมา นับเป็นเสน่ห์สำคัญที่นำไปสู่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด สมาชิกผู้เข้าร่วมคือบุคคลจากหลายภาคส่วนในหมู่บ้าน โดยมีตัวแทนชาวบ้านจากหมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 3 เป็นสมาชิกหลัก ซึ่งส่วนมากเป็นผู้ที่มีปัญหาและเคยผ่านปัญหาจากการสูบบุหรี่
นอกจากจากนั้นยังมีภาคส่วนที่เป็นภาคีหลักในตำบล ได้แก่ เทศบาลตำบลร่มเกล้า โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสุริโย โรงเรียนบ้านนิคมร่มเกล้า รวมถึงตัวแทนฝ่ายปกครอง นั่นคือกำนันตำบลและผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 ก็เข้ามาร่วมหารือ ที่สำคัญคือทีม 'อาสาพาสุขใจ' อย่างที่เกริ่นในเบื้องต้น ว่าเป็นหัวใจสำคัญในการพูดคุยเพราะเป็นทีมที่ลุยงานและอยู่ใกล้ชิดกับชุมชนมากที่สุด
สำหรับทีมอาสาพาสุขใจ กลุ่มนี้ก็จะทำหน้าที่โดยการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับความพยายามในการ ลด ละ เลิกบุหรี่ ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมา มีผู้สูบบุหรี่ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อปฏิญาณตนในการ ลด ละ เลิกบุหรี่จำนวน 80 คน โดยที่อาสาพาสุขใจ 1 คน จะดูแลเพื่อคอยประกบผู้เข้าร่วมโครงการ 4 คน ทั้งนี้ ก็เพื่อให้การติดตามเป็นไปอย่างเข้มข้น
นอกจากทีมอาสาพาสุขใจแล้ว การอบรมเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจพิษภัยของบุหรี่และการเติมความรู้ผ่านการออกไปศึกษาดูงานข้างนอก เพื่อสร้างแรงกระตุ้นและเห็นตัวอย่างของพื้นที่อื่นๆ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่นำมาซึ่งการพัฒนารูปแบบในชุมชน จนในที่สุดทุกคนก็สามารถออกแบบการขับเคลื่อนงานในหมู่บ้านได้ ดังจะเห็นจากการค้นหาผู้นำต้นแบบที่สามารถ ลด ละ เลิกบุหรี่ พร้อมกับทำพันธสัญญา เพื่อกระตุ้นเตือนตนเองและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น
ทั้งนี้ รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมชุมชนโดยการติดป้ายตามร้านค้า และการจัดโซนเขตสูบบุหรี่และไม่สูบบุหรี่โดยการติดป้ายให้ชัดเจน ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น วัด โรงเรียน ศาลาประชาคม ลานกีฬา เหล่านี้คือรูปแบบที่เกิดขึ้นในชุมชนอันเกิดจากการที่ทุกคนช่วยกันออกแบบ รวมถึงการประชาสัมพันธ์และย้ำข้อมูลของผู้นำชุมชนผ่านเสียงตามสายเป็นประจำ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้ผล
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชุมชนร่มเกล้าหมู่ที่ 2 และ 3 มีพัฒนาการในเรื่องของการทำให้คนในชุมชน ลด ละ เลิกบุหรี่อย่างได้ผล นั่นก็คือ การสร้างกติกาที่เป็นเสมือนมาตรการร่วมกันในเรื่องการจัดการบุหรี่ ซึ่งกติกาเหล่านี้ก็เป็นผลมาจากการล้อมวงสนทนาอย่างเข้มข้น ทำให้วันนี้ชุมชนมีกติกาเพื่อปฏิบัติเกี่ยวกับบุหรี่ที่ทุกคนต้องยึดร่วมกันทั้งหมด 9 ข้อ ซึ่งมีทั้งกติกาที่สอดคล้องกับกฎหมายบุหรี่ที่สังคมรับรู้กันทั่วไป เช่น ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะต่างๆ ห้ามจำหน่ายบุหรี่ให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือกติกาเฉพาะที่ชุมชนร่วมกันกำหนดเพราะเห็นว่าวิถีเดิมที่ชาวบ้านเป็นอยู่ทุกคนมักมองข้ามว่าไม่เป็นปัญหา เพราะเคยปฏิบัติมาจนกลายเป็นวัฒนธรรม ดังนั้น ทุกคนจึงร่วมกันกำหนดกติกาใหม่เช่น ห้ามถวายบุหรี่ให้แด่พระภิกษุ ในกิจกรรมประเพณีต่างๆ ห้ามจัดเตรียมบุหรี่ให้ในงานบุญประเพณีหรือมหรสพให้แขกที่มาร่วมงาน ห้ามยื่นบุหรี่หรือแบ่งบุหรี่ให้คนอื่นสูบ ห้ามสูบบุหรี่ใกล้คนอื่นอย่างน้อยต้องมีระยะห่างไม่น้อยกว่า 15 เมตร เป็นต้น ซึ่งกว่าจะได้มาซึ่งกติกาเหล่านี้ก็ไม่ใช่แค่ประชุมครั้งเดียวผ่าน เพราะต้องมีการทบทวนและรับรองจนทุกฝ่ายเห็นว่าเหมาะสม
จากจุดเริ่มต้นที่มีปัญหาอุปสรรคจนแทบจะไปไม่รอด แต่มาวันนี้ชุมชนมีรูปธรรมความสำเร็จที่ชัดเจน โดยวัดได้จากจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการที่สามารถ ลดปริมาณการสูบบุหรี่ได้ 27 คน ซึ่งหรือคิดเป็นร้อยละ 30.68 จากจำนวนผู้สูบบุหรี่ทั้งหมด 88 คน และสิ่งที่ทำให้ทุกคนภูมิใจมากที่สุดคือวันนี้ในชุมชน มีผู้เลิกบุหรี่ได้ จำนวน 23 คนหรือคิดเป็นร้อยละ 26.1 (จากจำนวนผู้สูบบุหรี่ทั้งหมด 88 คน) รวมถึงที่ผ่านมาไม่มีผู้สูบบุหรี่รายใหม่เกิดขึ้นให้เห็นเลย
บทสรุปจากการทำงานที่นี่ทำให้เห็นว่า การใช้ชุมชนเป็นฐานโดยเอาทุนทางสังคมที่มีความสัมพันธ์ของผู้คนและแสวงหาผลประโยชน์ร่วม นั่นคือมองเรื่องสุขภาพหรือจะเรียกให้ครอบคลุมก็คือสุขภาวะเป็นที่ตั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ คุยทำความเข้าใจผ่านเวทีสภาผู้นำชุมชน โดยมีทุกหน่วยงานเป็นองค์ประกอบ เริ่มจากองค์กรที่เป็นหน่วยงานด้านการบริหารจัดการอย่างเทศบาล ก็เข้ามาทำหน้าที่ในฐานะหน่วยงานพี่เลี้ยงคอยอำนวยสะดวก จากนั้นผู้นำชุมชนอย่างผู้ใหญ่บ้านก็เข้ามาสานต่อเพื่อทำงานเชิงลึกกับสมาชิกชุมชน ในส่วนของหน่วยงานราชการอื่นๆ อย่าง โรงเรียนก็เข้ามาร่วมเป็นทีมในการวิเคราะห์ทิศทาง โดยมีหน่วยบริการสาธารณสุขในพื้นที่เป็นผู้ให้ข้อมูลด้านสุขภาพ และช่วยประกบทีมอาสาพาสุขใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น
เหล่านี้คือการสร้างรูปแบบเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ในชุมชน โดยมีปัญหาเรื่องบุหรี่เป็นประเด็นตั้งต้น เพื่อให้ชุมชนคิดรูปแบบในการจัดการและนำมาซึ่งวิธีการทำงานที่สามารถเชื่อมร้อยผู้คนให้หันหน้ามาคุยกัน เพราะถึงที่สุดแล้วสิ่งดีงามที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ถูกส่งไปไหน หากแต่มันมีผลโดยตรงต่อชุมชนของพวกเขานั่นเอง