“อานันท์”ชี้ทางกระจายอำนาจแก้”เหลื่อมล้ำ”

 “อานันท์”ชี้ทางกระจายอำนาจแก้”เหลื่อมล้ำ”

 

            นายอานันท์ ชี้อำนาจรัฐต้นตอความไม่ยุติธรรม แนะทางแก้ต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น อีกทั้งต้องลดการกระจุกตัวความเจริญในกรุงเทพฯ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ระบุการปฏิรูปเพิ่มอำนาจประชาชนเป็นทางออกไม่ใช่ “ปฏิวัติ”

 

            นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการปฏิรูป บรรยายพิเศษหัวข้อ “แนวทางปฏิรูปประเทศไทย” ในการสัมมนาวิชาการประจำปี 2553 เรื่อง “ลดความเหลื่อมล้ำและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ” จัดโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) วานนี้ (30 พ.ย.) ว่า การสร้างสังคมที่ยุติธรรมต้องลดอำนาจรัฐ และเพิ่มอำนาจให้กับคนท้องถิ่น เพื่อใช้ในการต่อรองกับนักการเมือง ทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น นักธุรกิจ และผู้มีอิทธิพล

 

            สังคมที่ไม่มีความยุติธรรม จะไม่สามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ และหากต้องการให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น หรือทำให้มีความยุติธรรมเพิ่มขึ้นจากอดีต ต้องลดอำนาจรัฐและเพิ่มอำนาจให้กับคนในท้องถิ่น เมื่อความยุติธรรมเกิดขึ้น จะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำและสังคมที่ผาสุก” นายอานันท์ กล่าว

 

            นายอานันท์ กล่าวต่อว่า หากต้องการลดความเหลื่อมล้ำ จำเป็นต้องลดการกระจุกตัวในกรุงเทพฯ ไปสู่ต่างจังหวัด เพราะปัจจุบันการศึกษาและการรักษาพยาบาลที่ดี กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและข้อมูลข่าวสาร ทำให้คนในต่างจังหวัดขาดโอกาสที่จะมีงานทำที่ดี มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

            ขณะเดียวกัน ชุมชนควรได้รับส่วนแบ่งจากทรัพยากรในท้องถิ่น ไม่ใช่ให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับรัฐหรือนายทุนที่ได้รับสัมปทาน เช่น ที่กำแพงเพชร มีน้ำมันใต้ดิน แต่คนที่นั่นมองแต่ว่ามีคนมาขุดน้ำมันใต้ดินที่เขาอยู่ แต่ไม่เคยใช้น้ำประปาที่สะอาด

 

            เมื่อคนมีอำนาจมาก เงินทุนมาก ก็จะใช้อำนาจไปในการทำสิ่งที่ผิดได้มาก ดังนั้นจะต้องมีการกระจายอำนาจให้กับประชาชน ซึ่งปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแค่ประเทศไทยที่มีการปฏิรูป แต่ในหลายประเทศก็มีการปฏิรูป เมื่อก่อนนี้เรามีการปฏิวัติใช้กำลังเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ทุกอย่างก็เข้ารูปแบบเดิม การปฏิวัติไม่ใช่คำตอบ การปฏิรูปเท่านั้นเป็นแนวทางสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและขอให้เราเลิกคิดไปเลยว่าการปฏิวัติเป็นคำตอบ เพราะการปฏิวัติ เมืองไทยล่มจมมากขึ้น” ประธานคณะกรรมการปฏิรูป กล่าว

 

            นายอานันท์ ยังกล่าวต่ออีกว่า การปฏิรูปที่เพิ่มอำนาจต่อรองให้กับประชาชนมากขึ้น ประชาชนต้องมีส่วนร่วม ไม่ใช่ว่าให้ใครเป็นเจ้าของ และการปฏิรูปนั้นต้องทำให้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และให้มองว่าการปฏิวัติเป็นของแปลก ผิดธรรมชาติและควรหลีกเลี่ยง

 

            ชี้ปัญหาอยู่ที่การปฏิบัติ

 

            ต่อมามีเวทีอภิปรายหัวข้อ “การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ” โดย นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานสถาบันวิทยาการเศรษฐกิจและการคลัง กล่าวว่า การลดความเหลื่อมล้ำอยู่ที่การนำนโยบายไปปฏิบัติให้ได้ผล

 

            ในส่วนแรก คือ ระดับชาติ การลดความเหลื่อมล้ำต้องทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว ซึ่งทำให้ผลประโยชน์ตกลงสู่ประชาชนได้ระดับหนึ่ง พร้อมทั้งมุ่งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่นในมิติเกี่ยวกับภาษีต้องทำให้บริษัทไทยสามารถแข่งขันได้ จากปัจจุบันภาษีเงินได้นิติบุคคลของไทยสูงกว่าประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกัน ตนเห็นว่าควรมีการทบทวนสิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพราะปัจจุบันถือว่าล้าสมัย

 

            ภาษีบีโอไอ ทำให้เกิดการเหลื่อมล้ำระหว่างบริษัทที่ได้บีโอไอและบริษัททั่วไป หากรัฐบาลทบทวนภาษีบีโอไอ จะทำให้สัดส่วนการจัดเก็บรายได้ต่อจีดีพี เพิ่มจาก 18% เป็น 20%” นายสถิตย์ กล่าว

 

            แนะแก้กฎหมายร่วมทุน-ภาษี

 

          นอกจากนี้ รัฐบาลต้องส่งเสริมให้เอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการลงทุน ซึ่งต้องแก้ไขกฎหมายร่วมทุน ซึ่งปัจจุบันมองแต่ในมิติควบคุม แต่ควรปรับให้เป็นมิติในการส่งเสริมกิจกรรมของเอกชนมากกว่า และตนเสนอว่าควรมีการใช้ระบบภาษีทางตรงมากขึ้น เช่นที่ผ่านมา มีการนำภาษีเหล้าและยาสูบให้กับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อส่งเสริมสุขภาพ แต่เห็นว่าภาษีทางตรงที่จะนำมาสนับสนุนการศึกษา ควรมาจากภาษีทางตรงเช่นกัน เช่นเดียวกับการมีสื่อสาธารณะ ที่นำเงินมาจากภาษีสุราและยาสูบ แต่น่าจะมาจากภาษีโทรคมนาคมมากกว่า

 

            ในส่วนที่สอง การแก้ปัญหาระดับฐานรากของสังคม ซึ่งได้แก่คนที่อยู่ในเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ 24 ล้านคนและเกษตรกร ซึ่งจะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้มีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นและสามารถเข้าถึงระบบประกันสังคม เช่นการรักษาพยาบาล บำเหน็จชราภาพ รวมถึงการเข้าถึงแหล่งทุน

 

            ด้าน นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทยกล่าวว่า ขณะนี้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยใช้เครือข่ายสภาหอการค้าทั่วประเทศในการดูแลและช่วยเหลือชุมชนในการบริหารการจัดการ

 

            แนะ คกก.ปฏิรูปต้องสนใจภาคแรงงาน

 

            นางจิตรา คชเดช กลุ่มผู้ผลิตชุดชั้นในไทรอัมพ์ กล่าวว่า ปัจจุบันแรงงานมีรายได้เพียงขั้นต่ำ 230 บาท/วัน และหากจะมีรายได้เพิ่มขึ้นต้องทำงานโอที ขณะที่นายจ้างพยายามกดค่าแรง หรือไม่เพิ่มค่าแรงให้กับแรงงาน เพื่อลดต้นทุนและขู่ว่าหากแรงงานไม่ยอมจะปิดโรงงาน สุดท้าย คนงานต้องยอมเพราะกลัวตกงาน

 

            นอกจากนี้ แรงงานที่อยู่ในโรงงาน ถือเป็นคนที่ไม่สามารถเข้าถึงอำนาจทางการเมืองได้ เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในพื้นที่ไม่เคยสนใจแรงงานในโรงงานเลย เพราะไม่ใช่ประชาชนในพื้นที่ที่เป็นฐานเสียง และเมื่อมีการเลือกตั้ง แรงงานก็ต้องกลับไปเลือกตั้งที่บ้าน ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร ทำให้แรงงานไม่มีอำนาจในการต่อรอง ที่นำไปสู่การกำหนดนโยบายที่มีให้แก่แรงงาน ขณะที่สถานประกอบการเอง กีดกันไม่ให้แรงงานรวมตัวกันเป็นสหภาพ

           

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 

Update : 01-12-53

อัพเดทเนื้อหาโดย :  ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code