ออกค่ายเรียนรู้…สู่การเป็นพยาบาลคู่ชุมชน
“หนุ่มสาว” นักศึกษาพยาบาลชุมชนกว่า 400 คนจากทั่วประเทศ ใช้เวลาว่างระหว่างปิดเทอมที่มีเพียงสองสัปดาห์ไปร่วมโครงการ “พัฒนาทักษะวิจัยชุมชน” ณ ตำบลชากไทย อำเภอเขาคิชกูฏ จังหวัดจันทบุรี เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการกลับไปเป็นพยาบาลในชุมชนของตนเองหลังจากจบการศึกษา
แม้ว่ายามปกติ “หนุ่มสาว” เหล่านี้ต้องเรียนอย่างหนักอยู่แล้ว ทั้งในภาคทฤษฎีและการฝึกฝนทักษะหัตถการ เพราะเป็นเรื่องที่พลาดไม่ได้ในการช่วยชีวิต แต่จากข้อมูลอีกด้านหนึ่งพบว่า แท้จริงแล้วมีคนไข้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่มาหรืออยู่ในโรงพยาบาล แต่ส่วนใหญ่อีก 80% จะอยู่ในพื้นที่ชุมชน หรือแม้บางทียังไม่ป่วยแต่ก็อยู่กับภาวะเสี่ยง
ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลผลักดันให้พยาบาลต้องสนใจงานชุมชน เพื่อรุกลงไปทำงานด้านสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถบรรเทาทุกข์จากความเจ็บไข้ รวมทั้งลดหรือหยุดอัตราการเสียชีวิต ซึ่งการไปสู่เป้าหมายได้นั้นจำเป็นต้องเริ่มจากการมีข้อมูลที่ดี
โครงการนี้จึงเกิดขึ้นโดยมีการสนับสนุนของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เทศบาลตำบลชากไทย รวมทั้งเครือข่ายสถาบันการศึกษาพยาบาล ร่วมสร้างพยาบาลของชุมชน เพื่อเปิดทัศนคติและเสริมทักษะการทำงานกับชุมชนให้กับนักศึกษา ผ่านวิธีวิทยาแบบ “ชาติพันธุ์วรรณา” ซึ่งจะใช้เป็นเหมือนเครื่องมือในการเก็บข้อมูล เพราะวิธีนี้คือการศึกษาวิถีชีวิตที่มีความเฉพาะเจาะจงในแต่ละท้องถิ่นและกระบวนการนี้จะทำให้การเก็บข้อมูลของงานพยาบาลเป็นระบบ
“ป๊อก ป๊อก ป๊อกๆๆ” …เสียงสากกระแทกครกดังขึ้นจากบ้านสวนที่ปรับปรุงเป็น home stay หลังหนึ่ง แกนนำชาวบ้านชากไทยจัดเตรียมบ้านแบบนี้ไว้รองรับนักศึกษาถึง 40 หลัง เพื่อให้นักศึกษาสะดวกต่อการเก็บข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ ชีวิตปกติของชาวสวนท้องถิ่นจันทบุรี บ้านหลังนี้มีขนาดกลางๆ แต่ก็พอให้สาวๆ นอนเป็นพืดร่วมกันได้ถึง 25 คน แม้ไม่เป็นส่วนตัว แต่พวกเธอก็ไม่รู้สึกอึดอัด ที่เป็นปัญหาบ้างคงเป็นเรื่องการจัดสรรเวลาเข้าห้องน้ำ เพราะมีเพียงสามห้อง ที่สำคัญพวกเธอได้พักบ้านแกนนำได้เรียนรู้วิถีชีวิตของแกนนำ ทั้งแนวคิดและการดำเนินชีวิต
บางคนยังมีสมาธิกับข้อมูลในคอมพิวเตอร์ แต่ข้างๆ ต้นเสียงตำสากมีกระท้อนลูกโตถุงใหญ่วางอยู่ เธอคนหนึ่งกำลังตำลูกที่ปอกแล้วให้นัวกับน้ำปลาร้าต้มสุกไม่นานตำกระท้อนครกนี้ก็ถึงปากอาจารย์และเพื่อนฝูง รสชาติก็แน่นอนว่าแซบหลาย ไม่ผิดรสมือลูกสาวคนขอนแก่น เพื่อนๆ อีกสองสามคนกำลังไปสอยเงาะพวงโตมาให้ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาพักของเด็กๆ นี่คือชีวิตที่นี่
“เราต้องอยู่แบบลูกหลาน” สำลี สาลีกุล จากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีและอาจารย์ประจำกลุ่ม กล่าวถึงลูกศิษย์และเมาท์แบบขำๆ ว่า “ไปตลาดก็เตรียมคนไปช่วยหิ้วตะกร้าของในตลาดบางทีก็ทำให้เราได้รู้ว่าเด็กขอนแก่นไม่รู้จักสาเกเชื่อม”
อย่างไรก็ตาม เธอว่าตลาดก็คือสถานที่สำคัญที่จะเรียนรู้ชุมชน เพราะมองเห็นทั้งคนและผลิตภัณฑ์ ซึ่งการนำนักศึกษามาเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ ก็เหมือนเป็นการเติมทักษะชีวิต แต่ส่วนตัวจะไม่เน้นให้เครียดกับกิจกรรม จะให้นักศึกษามองหาประสบการณ์ใหม่ๆจากพื้นที่ระหว่างทำงานมากกว่า เช่นระหว่างลงเก็บข้อมูลหากผ่านสวนไหนที่คนนำทางรู้จักก็จะแวะชม แวะถามไปรายทาง
เรือโทหญิง ดร.แก้ววิบูลย์ แสงพลสิทธิ์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการสังคมคณะพยาบาลศาสตร์วิทยาลัยเซนต์หลุยส์อาจารย์ประจำอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเด็กๆ อาศัยบ้านหลังเดียวกันกล่าวเช่นกันว่า จากโครงการนี้นักศึกษาจะเกิดความคุ้นเคยกับงานในชุมชนคุ้นเคยกับการเริ่มเข้าหาชาวบ้าน ไม่เคอะเขินต่างจากโรงพยาบาลซึ่งคนไข้จะเข้าหา แต่นี่เราเป็นคนก้าวเข้าไปหาจึงจำเป็นต้องมีการสร้างสัมพันธภาพอีกแบบหนึ่ง
“บทบาทของพยาบาลชุมชน มันสะท้อนบทบาทผู้ประสานงานด้วย ต้องมองให้ออกด้วยว่าปัญหาของคนไข้อยู่ที่ไหนบทบาทไหนเราทำด้วยตัวเองบทบาทไหนเราต้องไปเชื่อมให้เขาเพราะสุดท้ายมันตกไปที่สุขภาพการมาครั้งนี้ก็เพื่อให้นักศึกษาเห็นความสำคัญของข้อมูลและตีความหมายให้ออกว่าอะไรเป็นปัญหา อะไรเป็นสาเหตุ และใครจะแก้ปัญหาได้” ดร.แก้ววิบูลย์ กล่าว
“ชะเอม” หรือ น.ส.อัจฉรา นาเมือง นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยของแก่น ชั้นปีที่ 3 และ แต้ว หรือ น.ส.สุวิชญา รางแดง จากวิทยาลัยพยาบาลนครลำปางชั้นปีที่ 4 นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน เธอเล่าถึงกิจกรรมที่ทำว่า ทางกลุ่มได้รับมอบหมายให้เก็บข้อมูลเรื่องหอกระจายข่าวและเสียงตามสายจึงไปคุยกับแกนนำและไปดูสถานที่ สิ่งจะเป็นข้อเสนอก็คืออุปกรณ์ที่นี่ยังต้องซ่อมแซม อีกทั้งขาดความต่อเนื่องของการให้ข้อมูลข่าวสาร (ทุกเรื่อง) มีเพียงเดือนละครั้ง ทั้งที่เสียงตามสายหรือหอกระจายข่าวจะไปได้ไกลและเป็นประโยชน์ แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะขาดเนื้อหาที่จะพูด
ทางกลุ่ม ก็ทราบในสภาพการณ์จริงว่าชาวบ้านที่นี่เวลานี้ต้องไปเก็บเงาะซึ่งเป็นภาระที่หนักอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าที่นี่มีพยาบาลชุมชนจะสามารถมาเสริมตรงนี้ได้และที่ผ่านมาข้อมูลส่วนใหญ่มาจากการประชุมผู้ใหญ่บ้านแต่ยังไม่ได้ยินว่ามีการเชื่อมโยงในมุมสุขภาพ
“หมู่บ้านนี้เป็นสวน บ้านแต่ละหลังห่างกันมาก ส่วนมากต้องใช้รถ เราจะดูว่าข่าวสารที่ได้รับทั่วถึงแค่ไหน เช่น เรื่องสุขภาพข่าวที่เข้ามาสามารถกระจายได้หรือไม่ตอนนี้ปัญหาสุขภาพ คือ ไข้เลือดออก เพราะเข้าช่วงหน้าฝน อาจจะมีการรณรงค์หรือทำโครงการเข้ามาลดการระบาด การควบคุมโรคคนจะได้รู้ข่าวสารทัน” แต้วบอกอย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความชอบ แต้วตอบตรงๆ ว่าชอบงานในโรงพยาบาลมากกว่าเพราะจะเป็นงานที่ได้ทำกับผู้ป่วยเฉพาะหน้าจริงๆ แต่ตรงนี้ ชะเอม มองต่างออกไป
“เคยลงชุมชน 2 ครั้ง พบว่างานแบบนี้ต่างจากบนหวอด(หอผู้ป่วยในโรงพยาบาล) มาก บนหวอดจะต้องทำอะไรตามที่ต้องทำเป๊ะๆ แต่งานชุมชนจะหลากหลายมากกว่า เพราะแต่ละชุมชนต่างกัน ปีที่แล้วไปยโสธรก็เห็นวิถีชีวิตแบบภูไท แต่ที่นี่ วิถีชีวิตเป็นแบบชาวสวน จึงคิดว่ามีอะไรให้เรียนรู้เยอะกว่าบนหวอด และอยากให้คนแต่ละแห่งเรียนรู้ที่จะรักษาสุขภาพของตัวเอง ไม่ใช่ป่วยแล้วถึงไป ซึ่งถ้ารู้จักดูแลให้ไม่ป่วย เขาก็จะลดภาระค่าใช้จ่าย ค่าเสียเวลาด้วย”
“สิ่งที่แต้วตอบเป็นเรื่องความรู้สึกซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดถูก” อาจารย์สำลี ซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยกล่าวขึ้นพร้อมกับกำลังใจว่า งานพยาบาลมีหลายสาขาขึ้นกับความถนัด ความชอบ ซึ่งใครก็ตามที่ทำงานที่ตัวเองชอบก็จะมีความสุขที่สามารถทำงานของตัวเองได้อย่างดี
“การที่เราตั้งรับอยู่ในโรงพยาบาลอย่างเดียว เราได้แค่ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเราทำในพยาบาลชุมชนเราได้ทั้ง 4 มิติ ส่งเสริมป้องกัน รักษา และฟื้นฟู ทำได้หมด แต่ตรงนี้อยู่ที่ใจรักซึ่งไม่ใช่อาจารย์นั่งตรงนี้แล้วตอบแบบแต้วไม่ได้ มันอยู่ที่จะทำอย่างไรให้คนสนใจสุขภาพ” อ.สำลี กล่าว
จากนั้นอาจารย์สำลี จึงอธิบายว่า ในหวอดเราอาจเห็นคนไข้ 1 คน แต่ถ้าลงชุมชนจะเห็นสิ่งที่ส่งผลต่อสุขภาพด้วยเช่น ตอนนี้มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้รักษาฟรีแล้วแต่ทำไมคนไข้จึงไม่ไปตามนัด เมื่อก่อนอาจคิดว่าไม่มีเงิน เลยไม่ไป
“ถ้าพยาบาลไม่ลงพื้นที่จะไม่เข้าใจบริบท เพราะตอนนี้กำลังเก็บเงาะเก็บมังคุดซึ่งกำลังมีราคา มันจะไปเติมทักษะการให้บริการด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์”
อาจารย์สำลี กล่าวทิ้งท้ายว่า งานนี้คืองานที่เราช่วยกันทำเพื่อให้ลูกศิษย์ที่จะลงไปพื้นที่ในอนาคตทำงานได้ สามารถคุย มีสัมพันธภาพที่ดีและทำงานอย่างมีความสุข
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า