อสม.รุกฆาต! ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง

สร้างชุมชนแข็งแกร่งพอเพียง

 

อสม.รุกฆาต! ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 

วิกฤติเศรษฐกิจโลกได้ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบรุนแรง ทำให้รัฐบาลต้องจัดทำ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งซึ่งจะเป็นโครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว และหนึ่งในโครงการไทยเข้มแข็ง   ก็คือ โครงการสาธารณสุข ที่ได้รับเม็ดเงิน จากงบประมาณจำนวน 99,399 ล้านบาท จะช่วยปฏิรูปคุณภาพระบบสาธารณสุขมีมาตรฐานสูงสำหรับคนไทย

             อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า อสม. เป็นรูปแบบหนึ่งของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลสุขภาพตนเอง ครอบครัว และชุมชน โดยผ่านกระบวนการอบรมให้ความรู้จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข โครงการนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2520 ถึงวันนี้จำนวน อสม. เพิ่มขึ้นจนครอบคลุมหมู่บ้านในชนบทและชุมชนเมืองกว่า 8 แสนคน

 

บทบาทสำคัญหลัก ๆ ของ อสม. ประกอบไปด้วย การเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพอนามัย ของชาวบ้านในชุมชน การสื่อสารข่าวสารสาธารณสุข การแนะนำเผยแพร่ความรู้ การวางแผน และการประสานกิจกรรมพัฒนาสาธารณสุข ตลอดจนให้บริการสาธารณสุขด้านต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมสุขภาพ การเฝ้าระวังและป้องกันโรค การช่วยเหลือและรักษาพยาบาลขั้นต้น โดยใช้ยาและเวชภัณฑ์ตามขอบเขตที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

 

เป้าหมายหลักคือเน้นการพึ่งตนเองด้านสุขภาพ ด้วยการสร้างระบบสุขภาพภาคประชาชนและเศรษฐกิจชุมชนตามแนวหลักเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากนี้การดำเนินการยังเน้นให้ชุมชนเข้มแข็ง

 

การทำงานของพวกเขาส่งผล ให้นโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพประชาชนบรรลุเป้า เราจึงต้องปลุกขวัญกำลังใจบุคลากรที่มีมากที่สุดถึง 9.8 แสนคน ด้วยการจ่ายค่าตอบแทนให้เดือนละ 600 บาทต่อคน เป็นเวลา 6 เดือน โดยใช้งบประมาณกลางปีกว่า 3,500 ล้านบาท และยังได้เตรียมงบปี 53 อีกกว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อแลกกับภารกิจหลัก 3 เรื่อง คือ ให้ อสม.เป็นด่านแรกรณรงค์เรื่องสุขภาพประชาชน คือ ดูแลหญิงตั้งครรภ์  ลดการแท้งบุตร ดูแลเด็กแรกคลอดให้ดื่มนมแม่ และดูแลผู้สูงอายุในชุมชนนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข แสดงความเห็น  ถึงภารกิจของ อสม.

 

โครงสร้างของ อสม.ปัจจุบันนับได้ว่าเข้มแข็งกระจายครอบคลุมทุกหมู่บ้านและทุกชุมชนในเขตเมือง ที่สำคัญมีจิตอาสาในการช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นหากได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น จะสามารถส่งเสริมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริง

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้นายเมธี จันท์จารุภรณ์ ประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมการพึ่งตนเองและเศรษฐกิจ ได้แสดงความเห็นว่า การดำเนินงานของ อสม.มุ่งเน้นการสร้างผู้นำการพัฒนาองค์ความรู้ และสร้างเครือข่ายช่องทางต่าง ๆ เพื่อเป็นฐานนำไปสู่การพัฒนาตามเป้าหมายอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งในระยะแรกได้เสร็จตามเป้าหมายแล้ว โดยมีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการในระดับภาคทั้ง 4 ภาค เพื่อจัดทำแผนการพึ่งตนเองในระดับจังหวัด พัฒนาเครือข่ายวิทยุชุมชน เพื่อให้ชุมชนได้รับข่าวสารอย่างถูกต้อง

          “เราได้สำรวจข้อมูลศักยภาพชุมชนในแต่ละอำเภอ เพื่อนำมาวิเคราะห์จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา พบว่า สมาคม อสม.แพร่เป็นตัวอย่างของชุมชนเข้มแข็ง ที่เกิดขึ้นด้วยพลัง อสม.อย่างชัดเจน เนื่องจากการจัดสวัสดิการให้กับสมาชิกด้วยกันเอง โดยไม่หวังรอการช่วยเหลือหรือพึ่งงบประมาณจากภาครัฐ ด้วยการเก็บออมวันละ 1 บาท จนสามารถมีกองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตประธานคณะอนุ กรรมการส่งเสริมการพึ่งตนเองและเศรษฐกิจ กล่าว

 

ซึ่งเรื่องนี้ผู้ที่จะให้ความกระจ่างได้ดีที่สุดก็คือ นางภิรมณ์พร กวาวสาม นายกสมาคม อสม.แพร่ ที่เปิดเผยว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้ว อสม. แพร่เคยไปขอใช้สถานที่ของราชการในการประชุม แต่ประชุมยังไม่ทันจบก็ถูกเจ้าหน้าที่ไล่ให้ออกไปประชุมที่อื่น เพราะนายอำเภอและเจ้าหน้าที่อำเภอจะใช้ห้องประชุม ตรงนี้ทำให้พวกเราได้คิดว่า รัฐไม่ได้ต้องการส่งเสริมให้ชาวบ้านเข้มแข็งเหมือนอย่างที่พูด ตรงกันข้ามกลับกลัวชาวบ้านฉลาดขึ้น

 

หลังจากวันนั้นการประชุมงานจะใช้บ้านของดิฉันแทนสถานที่ราชการ หากเมื่อต้องการข้อมูลเพิ่มเติมจึงจะเชิญหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้น ๆ มาให้ความรู้เสริมการพัฒนาชุมชนตามแนวทางที่ชาวบ้านต้องการ ถือเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ จากรัฐสั่งชาวบ้านมาเป็นรัฐช่วยเหลือในสิ่งที่ชาวบ้านต้องการ เป็นการทำงานจากล่างขึ้นบนไม่ใช่บนลงล่างนายกสมาคม อสม.แพร่กล่าว

 

นางภิรมณ์พรยังกล่าวต่ออีกว่า ช่วงแรกมี อสม.ที่เข้าร่วมทำงานตามแนวทางนี้เพียง 30 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐมองว่าเราเป็นพวกหัวแข็ง ทั้งที่ความจริงเราอยากกำหนดบทบาทภาคประชาชนและเสนอแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสม ที่เป็นความต้องการของชุมชนในพื้นที่อย่างแท้จริง ซึ่งคนที่รู้วิธีดีที่สุด ก็คือชาวบ้านในพื้นที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐที่มาจากที่อื่นมาสั่งให้ทำ ถึงตอนนี้เจ้าหน้าที่ถึงเข้าใจว่าองค์กรนี้พึ่งตนเองได้และเป็นแบบอย่างที่ดีวันนี้สิ่งที่สมาชิก อสม.แพร่เริ่มในวันนั้นออกดอกออกผลน่าภูมิใจ เมื่อมี อสม.เข้าร่วมงานเพิ่มเป็น 200- 300 คน แม้จะดูไม่มากนักหากเทียบกับ อสม. ทั้งจังหวัดที่มีอยู่กว่า 1 หมื่นคน แต่ก็เป็นก้าวเล็ก ๆ ที่มีการขยายออกไปเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันกิจกรรมที่สมาชิกสมาคมฯดำเนินการมีมากมาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการ พัฒนาคุณภาพชีวิต อสม.เช่น กองทุนสวัสดิการ อสม.และกองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตที่มีเงินหมุนเวียนรวมกันถึง 17 ล้านบาท สำหรับใช้สนับสนุนการประกอบอาชีพของ อสม.รวมทั้งเป็นค่าเล่าเรียนบุตรและค่ารักษาพยาบาล

 

อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้ อสม.แพร่ได้รับการชมเชยก็คือ เกือบ 2 ปีที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้งกองทุนออมวันละ 1 บาทขึ้น เพื่อนำเงินสมทบเข้ากองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตเพิ่มเติม ด้วย การส่งเสริมให้ อสม.ออมเงินอย่างน้อยวันละ 1 บาทแล้วนำมาฝากไว้กับกองทุน โดยอสม. 1 คนต้องเสียค่าสมัครสมาชิก 20 บาทและค่าสมัครเข้าโครงการออมคนละ 50 บาท จากนั้นนำเงินฝากเข้ากองทุนเป็นรายเดือน   ตามจำนวนที่ต้องการ ทำให้ปัจจุบันมีเงินในกองทุนออมวันละบาทกว่า 2 ล้านบาท

 

นางภิรมณ์พรกล่าวถึงการตั้งกองทุน ออมวันละบาทว่า เพราะต้องการให้ อสม.รู้จักการออม การพึ่งตนเอง และเรียนรู้ว่าหากจะให้สิ่งใดกับใครต้องให้อย่างมีคุณค่า และคนรับต้องรับอย่างมีคุณค่าเช่นกัน สิ่งที่ให้จึงเกิดประโยชน์เต็มที่

 

กิจกรรมและกองทุนสวัสดิการต่าง ๆ ที่ทำเพื่อต้องการช่วยให้ อสม.อยู่ดีกินดีมีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยการพึ่งตนเอง ริเริ่มและลงมือด้วยตนเอง ไม่ใช่หวังเพียงให้หน่วยงานรัฐหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ ถึงวันนี้พูดได้ว่าสมาชิกมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยไม่ต้องพึ่งสวัสดิการจากรัฐ เป็นการพิสูจน์ว่าเมื่อชาวบ้านปากท้องอิ่มมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็สามารถทุ่มเทกำลังในการช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมได้มากขึ้นนางภิรมณ์พรกล่าวอย่างภาคภูมิ

 

ไม่เพียง อสม.แพร่ที่มีบทบาทโดดเด่นแล้ว ชุมชน ต.หนองสาหร่าย อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ก็มีผลงานเด่นไม่แพ้กันด้วยการรวมกลุ่มชาวบ้านขับเคลื่อนจนมีโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ โรงผลิตน้ำดื่ม ผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน ซึ่งทั้งหมดมีแนวคิดเดียวกันคือ ร่วมกันคิดร่วมกันทำ เน้นความโปร่งใสซื่อสัตย์ ขณะที่รูปแบบรายการวิทยุชุมชนที่จัดโดย อสม.นครสวรรค์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างในการสะท้อนการเป็นสื่อชุมชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่สถานีที่ได้รับงบฯจาก นายทุนจนต้องเสนอเรื่องราวตามที่เขาต้องการ เนื้อหาสาระที่ อสม.นครสวรรค์นำเสนอ ผ่านวิทยุชุมชน จะเน้นเรื่องชุมชนที่แท้จริง มีปราชญ์ชาวบ้าน เยาวชน และผู้สูงอายุเป็นผู้นำเสนอเรื่องราวดี ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชน ทำให้รู้เท่าทันสถานการณ์ทุกเรื่อง

 

ในการเสริมสร้างชุมชนให้เข้มเข็ง หัวใจสำคัญของความสำเร็จคือองค์ความรู้ ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง การเรียนรู้และการจัดการที่มีประสิทธิภาพ แต่สังคมปัจจุบันข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องในสังคมมีไม่ทั่วถึง ทำให้ประชาชนได้รับรู้ข่าวสารที่แตกต่างกันจนเกิดความแตกแยก แต่เมื่อนำจุดแข็งของ อสม.ที่กระจายอยู่ทุกพื้นที่มาเป็นพลังในการสร้างการเรียนรู้ สร้างพลังความคิดสร้างสรรค์ให้กับประชาชน จะสามารถพัฒนาสังคมไทย    ไปสู่สังคมที่สงบสุขนายเมธีกล่าวทิ้งท้าย

 

แม้ว่าพลังของ อสม. อาจจะดูเล็กน้อยดั่งเม็ดกรวดทรายแต่เมื่อยามกระจายอยู่ตามหมู่บ้านและชุมชนต่าง ๆ เมื่อมีการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเป็นชมรม พลังเหล่านี้ก็จะ   มีความมั่นคงดั่งภูผา พร้อมที่จะต่อสู้และก้าวนำไปสู่การพัฒนาด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตของภาคประชาชนอย่างเข้มแข็ง ยั่งยืน และสงบสุข.

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

update: 29-09-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code