อย.ชี้อันตราย ‘ยาปฏิชีวนะ’
เสี่ยงแพ้รุนแรงถึงเสียชีวิต!!
ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า ประชาชนทั่วไปรู้จักยาปฏิชีวนะในชื่อ “ยาแก้อักเสบ” ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากยาปฏิชีวนะเป็นยาที่ใช้รักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
ส่วนการอักเสบอาจเกิดขึ้นด้วยสาเหตุมากมาย ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคภูมิแพ้ กล้ามเนื้ออักเสบ หรือการอักเสบจากการถูกความร้อนหรือสารเคมี บางกรณีเป็นการติดเชื้อซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส เช่น โรคหวัดหรือไข้หวัด เป็นต้น ยาปฏิชีวนะจึงไม่ใช่ยาแก้อักเสบ แต่เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เมื่อมีอาการอักเสบดังกล่าวจึงไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะทันที แต่ควรต้องตรวจวินิจฉัยก่อนว่าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไม่
มีหลายคนมักเข้าใจผิดว่าหากป่วยเป็นโรคหวัดแล้วมีอาการเจ็บคอ หรือระคายคอ ท้องเสียจากอาหารเป็นพิษ รวมทั้งเกิดบาดแผลโดยทั่วไป ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ที่จริงส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะอาการป่วยดังกล่าวอาจไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อโดยไม่สมเหตุสมผล อาจเสี่ยงต่ออาการข้างเคียงและการแพ้ยา เช่น คลื่นไส้ ท้องเดิน มีผื่นคัน หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต รวมทั้งอาจก่อให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา
ภญ.วีรวรรณเปิดเผยว่า การดื้อของเชื้อโรคต่อยานั้น เกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียถูกคุกคามโดยการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อ ทำให้เชื้อเกิดการกลายพันธุ์ สามารถทนทานต่อฤทธิ์ของยาซึ่งเคยใช้ได้ผลมาก่อน ทำให้ต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่อันตรายมากขึ้นและแพงขึ้น หรืออาจถึงขั้นรักษาไม่หายและเสียชีวิตจากการติดเชื้อดื้อยาได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย ก่อนใช้ยาปฏิชีวนะทุกครั้งควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
ทั้งนี้ การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อเป็นปัญหาสำคัญระดับโลก เพราะเชื้อโรคที่ดื้อยาสามารถแพร่กระจายในชุมชนได้ งานวิจัยโดยองค์การอนามัยโลกชี้ว่า การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่สมเหตุผล พบทั้งจากการสั่งใช้ยาของบุคลากรทางการแพทย์และการใช้ยาของประชาชน ผู้ป่วยยังคงเรียกร้องที่จะใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อป่วยด้วยอาการเล็กน้อย เช่น ครั่นเนื้อครั่นตัว เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ จาม โดยเป็นอาการของโรคหวัดจากเชื้อไวรัส ซึ่งยาปฏิชีวนะไม่มีผลต่อโรคดังกล่าว
จากการสำรวจสภาพปัญหาการใช้ยามากเกินความจำเป็นของประเทศไทยในช่วงปี 2549 พบว่า กลุ่มยาฆ่าเชื้อซึ่งมียาปฏิชีวนะรวมอยู่ด้วยนั้น มีมูลค่าการผลิตและนำเข้าสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท หรือเกือบ 1 ใน 4 ของมูลค่ายาทั้งหมด
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
ภาพประกอบ: อินเทอร์เน็ต
update 09-07-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก