อยากสุขภาพดี ต้องลด “เค็ม” & “พริกน้ำปลา”
ขอพริกน้ำปลาด้วยครับ ขอพริกน้ำปลาด้วยค่ะ!! ประโยคคุ้นเคยสำหรับผู้ที่กำลังจะรับประทานอาหารจานโปรดที่ตั้งอยู่ตรงหน้า แม้กระทั่งการไปรับประทานอาหารหรูหราถึงภัตตาคารชื่อดัง ก็ยังไม่วายที่จะขอ “พริกน้ำปลา” เหตุเพราะกินจนติดเป็นนิสัย… บางร้านถึงกับมีวางเอาไว้เพื่อบริการกันแบบจุใจให้ตามโต๊ะทุกตัวกันเลยทีเดียว!! แต่เดี๋ยวก่อน!! คุณรู้หรือไม่ว่า!! นั่นคือการหยิบยื่นตัวการทำลายสุขภาพของคุณโดยแท้…
…“พริกน้ำปลา” เป็นโซเดียมที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดแต่คนเรามักมองข้าม จนปัจจุบัน “พริกน้ำปลา” แทบจะเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของคนไทยเราไปเสียแล้ว หากเรายังเติมกันแบบไม่ยั้ง บริโภคกันในปริมาณที่มากเกินไปโรคร้ายอย่าง “โรคไต” จะถามหาได้โดยไม่ตั้งตัว มิหนำซ้ำยังก่อเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้อย่างง่ายๆ อีกด้วย แต่ที่น่าตกใจก็คืออาจถึงขั้นเป็นโรคหัวใจวายตายได้อีกด้วย
ซึ่งการบริโภคโซเดียมต่อวันนั้น องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้กำหนดไว้ว่าควรบริโภคเพียง 1,400 มิลลิกรัมต่อวันเท่านั้น แต่จากการตรวจสอบปริมาณโซเดียมในอาหารไทยที่ส่วนมากจะมีรสจัด พบว่ามีโซเดียมเกินกว่ามาตรฐานกำหนดอย่างมาก ซึ่งแต่ละมื้ออาหารก็จะมีโซเดียมเกินกำหนดอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อเรารับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ ก็เท่ากับว่า เราได้รับโซเดียมจากอาหารเกินกว่าที่กำหนดอย่างมากมายมหาศาล
โดย รศ.นพ.พีระ บูรณะกิจเจริญ แพทย์ที่ปรึกษาภาควิชาโรคความดันโลหิตสูง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อุปนายกสมาคมโรคความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “เกลือ” เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจโต โรคไต โรคทางตา โรคหลอดเลือดแดงตีบ รวมถึงโรคหลอดเลือดสมอง ซ้ำร้ายยังทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งเป็นสาเหตุการตายถึงอันดับ 3 ของโลก
ที่สำคัญจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า แนวโน้มตัวเลขผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทยสูงขึ้นร้อยละ 71 ซึ่งมีเพียงร้อยละ 30 เท่านั้นที่รู้ตัวว่ากำลังมีภาวะความดันโลหิตสูง จากการศึกษาพบว่า ปัจจุบันคนไทยมีการบริโภคเกลือเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีอายุระหว่าง 40-49 ปี คนกลุ่มนี้บริโภคเกลือมากขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า และยังเป็นกลุ่มอายุที่มักพบว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง โดยพบว่าในภาคเหนือ มีจำนวนผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากที่สุด รองลงมาได้แก่ภาคกลาง กรุงเทพฯ ภาคอีสานและภาคใต้
อาหารจำพวกรสเค็มนั้น นอกจากเครื่องปรุงรส เช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว กะปิ ปลาร้า แล้วนั้น “เกลือ” ยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องปรุงรสที่แฝงอยู่ในอาหารและขนมเกือบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ อาหารจานด่วนและขนมกรุบกรอบต่างๆ
ซึ่งนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อธิบายเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงเอาไว้ว่า “โรคความดันโลหิตสูง” ที่เราอาจจะมองว่าไม่รุนแรงถึงขึ้นเสียชีวิตได้มีอาการเบื้องต้น แค่ปวดศีรษะช่วงบ่าย วิงเวียนศีรษะบ้างนั้นแท้ที่จริงแล้วหัวใจกับความดันมีความสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง โดยในคนปกติทั่วไปจะมีแรงดันเลือดขณะที่หัวใจบีบตัว หรือความดันโลหิตสูงช่วงบน วัดค่าได้ไม่ควรเกิน 140 มม.ปรอท ส่วนแรงดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว หรือความดันช่วงล่างนั้น ไม่เกิน 90 มม.ปรอท ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม แต่หากต้องการทราบว่าความดันโลหิตช่วงบนปกติแต่ละอายุจะมีค่าเท่าไรนั้นสามารถคำนวณได้โดย ใช้อายุจริงบวกกับ 100 จะเท่ากับความดันที่เหมาะสมของเรา
ผลแทรกซ้อน…ที่อาจเกิดขึ้นจากการมีความดันโลหิตสูง คือ สายตาเสื่อม เนื่องจากหลอดเลือดในตา อาจตีบตันหรือแตกมีการตกเลือดในตาหรือบวมในชั้นตาที่รับภาพ อาการทางสมอง หลอดเลือดในสมองตีบหรือแตก มีผลทำให้ผู้ป่วยปวดศีรษะรุนแรง อาจชักไม่รู้ตัวและเป็นอัมพาตได้ถ้ารักษาไม่ทัน หัวใจล้มเหลว จากอาการที่กล้ามเนื้อหัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้น จึงทำให้หัวใจพองโต เกิดอาการเหนื่อยหายใจลำบาก และยังทำให้หลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จนกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ รวมถึง เส้นเลือดแดงใหญ่ โป่งพองและอาจแตกได้
แล้วความดันโลหิตสูงส่งผลอย่างไรต่อหัวใจ
เกี่ยวกับเรื่องนี้นายแพทย์สุขุมให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ผลทำให้เกิดความเสียหายต่อหัวใจและหลอดเลือดทำให้เกิดการแข็งตัวและตีบแคบลง ส่งผลให้เสียหายอย่างรุนแรงต่อกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจต้องบีบตัวแรงและทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายให้เพียงพอ โดยหัวใจจะมีขนาดโตขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดภาวะหัวใจวายและเสียชีวิตในที่สุด
ช่างเป็นผลลัพธ์จากการรับประทานของ “เค็ม” ที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่…หากเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและหันมาดูแลหัวใจให้มากขึ้น ก็จะลดความเสี่ยงกับโรคดังกล่าวลงได้อย่างมากมาย เริ่มต้นด้วยการลดกินเค็มลง ซึ่งปกติควรรับประทานเกลืออย่างน้อย 6 กรัมต่อวันก็ลดลงเหลือเพียง 3 กรัมต่อวัน โดยเฉพาะ “พริกน้ำปลา” ที่ชอบกัน จนติดเป็นนิสัยต้องเหยาะใส่ข้าวเปล่าก็เลิกซะ เพราะในกับข้าวต่างๆ มีการปรุงรสด้วยน้ำปลาอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ควรบริโภคอาหารที่มีไขมันต่ำหรือไม่มีไขมันเลยยิ่งดี รับประทานธัญพืชให้มากขึ้น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และงดดื่มสุรา…แล้วคุณจะห่างไกลโรคภัยต่างๆ ได้อย่างสิ้นเชิง
เรื่องโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th
Update: 22-09-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่