ห่วงเด็กติดโควิดจากครอบครัว แพทย์แนะผู้ปกครองฉีดวัคซีนลดเสี่ยง
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า
ภาพประกอบจาก สสส.
แฟ้มภาพ
สสส. ห่วงเด็กติดโควิด-19 จากครอบครัว เนื่องจากร่างกายยังอยู่ในช่วงการสร้างภูมิคุ้มกันที่ยังไม่สมบูรณ์ แพทย์แนะผู้ปกครองฉีดวัคซีนลดความเสี่ยง
พญ.วรรษมน จันทรเบญจกุลผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อเด็กและวัคซีน คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบเด็กติดเชื้อโควิด-19 กระจายอยู่ทุกช่วงอายุ เป็นเด็กโตร้อยละ 84 และเด็กเล็กร้อยละ 16 ซึ่งกลุ่มเด็กที่ติดเชื้อมีทั้งเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่นโรคระบบทางเดินหายใจ โรคอ้วนและโรคปอด ซึ่งจะมีอาการติดเชื้อคล้ายกับผู้ใหญ่ และเด็กที่ไม่มีโรคประจำตัวแต่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โดยช่วงอายุเด็กที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 มากที่สุดคือ กลุ่มเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี เนื่องจากร่างกายยังอยู่ในช่วงการสร้างภูมิคุ้มกันที่ยังไม่สมบูรณ์
“ส่วนเด็กอายุ 10 ปีขึ้นไปที่ติดเชื้อโควิด-19 แม้ร่างกายจะสมบูรณ์กว่าเด็กเล็ก แต่เมื่อรับเชื้อเข้าไปก็มีความเสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิตเช่นกันหากอยู่ในกลุ่มเป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการหรือเข้ารับการรักษาช้าจนเชื้อลามลงไปที่ปอดจนทำภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ ขณะที่ทางการแพทย์ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็ก โดยยังอยู่ระหว่างศึกษาวิจัย ส่วนผู้ใหญ่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง เพราะจะเป็นด่านแรกในการลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19กับเด็ก คนในครอบครัวและสังคม” พญ.วรรษมนกล่าว
ด้าน น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกนี้พบเด็กเล็กและเด็กโตติดเชื้อจากคนในครอบครัวจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้ปกครองต้องออกไปทำงานนอกบ้าน เพราะบางอาชีพไม่สามารถใช้มาตรการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ได้
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนแนวทางการบริหารจัดการองค์กรในอนาคตว่า จำเป็นต้องปรับทิศทางการทำงานของพนักงานให้สอดรับกับสถานการณ์โควิด-19 เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กหรือคนในครอบครัวต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางสุขภาพในชีวิตจากวงจรระบาดโควิด-19 จากพฤติกรรมเสี่ยงที่เลี่ยงไม่ได้ในลักษณะนี้ โดยในทางปฏิบัติสามารถทำได้คือ บริษัทต้องวางกลยุทธ์บริหารจัดการให้พนักงานตำแหน่งต่างๆ ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรการ Work from Home ให้ได้มากที่สุด โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน
ส่วนอาชีพที่จำเป็นต้องเข้าที่ทำงานหรือออกนอกพื้นที่ บริษัทต้องเน้นย้ำให้พนักงานทุกคนสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่างรับประทานอาหารที่ปรุงสุกแบบจานเดียว และสื่อสารให้พนักงาน “ตระหนัก แต่ไม่ตระหนก” กับวงจรระบาดที่เกิดขึ้น และหากมีสวัสดิการคัดกรองและการทำประกันโควิด-19 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางสร้างคุณภาพชีวิตให้พนักงานและคนในครอบครัว
“ขณะที่ผู้ปกครองที่กลับมาจากทำงานและไปในพื้นที่เสี่ยงจำเป็นต้องปฏิบัติตามแนวทางที่ สสส. แนะนำ เช่น ล้างมือก่อนเข้าบ้านและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่ถึงบ้าน รวมถึงการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกับผู้อื่นในบ้านก็นับเป็นความจำเป็นของชีวิตวิถีใหม่ด้วยเช่นกัน” ผอ.สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัวสสส. กล่าว