ห่วงภาคใต้ป่วยไข้เลือดออกพุ่ง
ที่มา : เว็บไซต์มติชนออนไลน์
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
แฟ้มภาพ
สธ.พบภาคใต้มีผู้ป่วยจาก “โรคไข้เลือดออก” จำนวนมาก แค่ 1 เดือนสูงกว่าพันคน เสียชีวิต 1 ราย
นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค(คร.) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2560 พบผู้ป่วยทั้งประเทศแล้ว 1,560 ราย ในภาคใต้พบผู้ป่วย 1,121 ราย เสียชีวิต 1 ราย อาการสำคัญของโรคไข้เลือดออก ที่สังเกตได้ด้วยตัวเอง คือ ไข้สูงลอยเกิน 2 วัน ไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส เบื่ออาหาร อาเจียน เมื่อกินยาลดไข้แล้ว ไข้มักไม่ลด หรืออาจลดชั่วคราวแล้วกลับมาสูงอีก ควรไปพบแพทย์ทันที เพื่อวินิจฉัยและรักษา การดูแลผู้ป่วยเมื่อมีไข้ ให้เช็ดตัวผู้ป่วยไม่ให้ตัวร้อนจัด รับประทานยาตามแพทย์สั่ง รับประทานอาหารอ่อนและที่ทำให้สดชื่น เช่น น้ำเกลือ น้ำผลไม้ พักผ่อนมากๆ และหมั่นสังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
ช่วงที่สำคัญและถือว่าอันตรายที่สุดคือ ช่วงที่ไข้ลด ซึ่งประมาณตั้งแต่ 3-5 วันหลังป่วย ถ้าผู้ป่วยฟื้นไข้ คือ มีอาการสดชื่น รับประทานอาหารได้ กรณีในเด็ก ถ้าวิ่งเล่นได้ก็แสดงว่าน่าจะหายป่วย แต่หากพบว่าซึมลง อ่อนเพลีย รับประทานอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ปวดท้องกะทันหัน หรืออาเจียนเป็นเลือด แสดงว่าเข้าสู่ภาวะช็อก ให้ไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดและควรให้ข้อมูลเรื่องอาการ ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์/ สถานที่รักษาบ่อยๆ และไม่ควรทานยาแอสไพรินกับกลุ่มไอบูโปรเฟนเพราะทำให้เลือดออกง่าย
สำหรับวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันคือไม่ให้ยุงกัด โดยเร่งดำเนินการควบคุมลูกน้ำยุงลายให้ลดลง ตามมาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ได้แก่ 1.เก็บบ้านให้สะอาด โล่ง ไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง 2.เก็บขยะเศษภาชนะรอบบ้าน โดยทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้ง ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง 3.เก็บน้ำ สำรวจภาชนะใส่น้ำ ต้องปิดฝาให้มิดชิด ป้องกันยุงลายไปวางไข่ เพื่อป้องกัน 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา รวมทั้งการกำจัดและควบคุมยุงตัวแก่ เช่น การพ่นสารเคมีกำจัดยุงลาย และการป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด เช่น ทายากันยุง นอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวด กำจัดยุงโดยใช้ไม้ช็อตไฟฟ้า จุดสมุนไพรหรือยาจุดไล่ยุง หรือใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422