หากผู้สูงอายุเป็น “โรคซึมเศร้า” ควรทําอย่างไร

ที่มา : หนังสือคู่มือการดูแลผู้สูงอายุสูตรคลายซึมเศร้า โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.)


หากผู้สูงอายุเป็น “โรคซึมเศร้า” ควรทําอย่างไร thaihealth


แฟ้มภาพ


                ถ้าท่านพบว่าผู้สูงอายุเป็น “โรคซึมเศร้า” ควรพาไปพบแพทย์ โดยแพทย์จะให้ยารักษาโรคซึมเศร้า บางรายอาจได้รับยาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ถ้ามีอาการประสาทหลอนหรือความคิดหลงผิด แพทย์จะให้ยารักษาโรคจิตด้วย รายที่นอนไม่หลับอย่างรุนแรง แพทย์จะให้ยาช่วยหลับ บางรายอาจต้องรักษาด้วยการพูดคุยกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ซึ่งบางครั้งทําได้ลําบาก เพราะผู้สูงอายุอาจมีอุปสรรคเรื่องการเดินทาง บางรายอาจจําเป็นต้องนอนโรงพยาบาล


ถ้าท่านพบว่าผู้สูงอายุมี “ภาวะซึมเศร้า” ท่านควรทําอย่างไร


เมื่อผู้สูงอายุมีอาการดังต่อไปนี้ ผู้ดูแลควรปฏิบัติเช่นไร


1. กินอาหารได้น้อยมาก หรือแทบไม่กินเลย น้ำหนักลดลง


คําแนะนําสําหรับผู้ดูแล


– ผู้สูงอายุที่กินอาหารได้น้อยลงหรือนํ้าหนักลดลง มีโอกาสที่จะขาดสารอาหาร ควรดูแลให้ได้รับอาหารอย่างเพียงพอให้กินอาหารอ่อน ย่อยง่าย และต้องไม่มีผลกระทบต่อโรคประจําตัว ถ้าเบื่ออาหารมากจนไม่อยากกินเลย ควรกระตุ้นให้กินมากขึ้น เช่น กระตุ้นหรือชักชวนให้กินทีละน้อย แต่บ่อยขึ้น


2. เบื่อหน่ายมาก อะไรที่เคยชอบทำก็ไม่อยากทำ/ไม่ค่อยสนใจหรือไม่สนใจที่จะดูแลตัวเอง จากที่เคยเป็นคนใส่ใจดูแลตนเองมาก แต่ตอนนี้กลับไม่สนใจการแต่งตัวเลย/ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง แม้แต่เรื่องง่ายๆ เช่น การแต่งตัว


คําแนะนําสําหรับผู้ดูแล


– พยายามกระตุ้นให้ผู้สูงอายุทําากิจกรรมต่างๆ เอง โดยเฉพาะกิจกรรมง่ายๆ เช่น การแต่งตัว โดยอาจชวนไปดูเสื้อผ้าในตู้แล้วช่วยกันเลือกว่าวันนี้อยากใส่ชุดไหน ช่วยให้ผู้สูงอายุแต่งตัว หวีผม แปรงฟัน กินข้าว ดื่มนํ้า เมื่อทําสิ่งง่ายๆ ได้ ผู้สูงอายุจะเริ่มรู้สึกว่าตนไม่ได้สร้างภาระให้กับผู้ดูแลเท่าไรนัก และเริ่มรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น


– ควรกระตุ้นให้ผู้สูงอายุทําความสะอาดช่องปาก เช่น ใช้แปรงสีฟันนุ่มๆ ใช้ยาสีฟันที่ไม่เผ็ดหรือใช้ยาสีฟันเด็ก ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่เผ็ดหรือน้ำยาบ้วนปากสําหรับเด็กควบคู่ไปด้วย และพบหมอฟันทุก 6 เดือน หรือบ่อยกว่านั้น


– ควรกระตุ้นการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จิตใจจะได้สบายขึ้น แต่ควรคํานึงด้วยว่าผู้สูงอายุมีโรคประจําตัวอะไรที่ต้องระวังหรือไม่


– หากผู้สูงอายุมีปัญหาทางการได้ยิน ควรพบแพทย์เพื่อใส่เครื่องช่วยฟัง หรือหากผู้สูงอายุมีปัญหาด้านการมองเห็น ควรให้ตรวจสายตาและใส่แว่นตา


3. ชวนไปที่ไหนก็ไม่ค่อยอยากไป


คําแนะนําสําหรับผู้ดูแล


– กรณีผู้สูงอายุปลีกตัวจากผู้อื่น ใครชวนไปไหนก็ไม่อยากไป ถ้าปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้จะทําให้ผู้สูงอายุยิ่งปลีกตัวมากขึ้น อารมณ์จะยิ่งเลวร้ายลง หงุดหงิดง่ายขึ้น ควรหากิจกรรมทําโดยเริ่มจากกิจกรรมเล็กๆ ในครอบครัว เช่น ชวนลูกหลานมาปลูกต้นไม้ รดนํ้าต้นไม้ หรือเลี้ยงสัตว์


4. ตอนกลางคืนนอนไม่ค่อยหลับ


คําแนะนําสําหรับผู้ดูแล


– ห้ามผู้สูงอายุนอนกลางวัน แต่ถ้าง่วงมาก ให้นอนได้ระหว่าง 12.00-14.00 น. แล้วปลุก เพราะถ้านอนกลางวันมากเกินไป ตอนกลางคืนย่อมมีปัญหาการนอน เช่น อาจจะหลับยากขึ้น หากตอนกลางคืนนอนไม่หลับ อาจชวนทํากิจกรรมเบาๆ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือธรรมะ หรือฟังธรรมะ แต่ถ้านอนไม่หลับติดต่อกัน 3-4 วันขึ้นไป ควรพบแพทย์


5. พูดคุยน้อย ผู้ดูแลไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไรให้ถูกใจ


คําแนะนําสําหรับผู้ดูแล


– ควรให้ความรักแก่ผู้สูงอายุ ใส่ใจความรู้สึก อารมณ์ และความคิดของผู้สูงอายุอย่างสมํ่าเสมอ


– ให้โอกาสผู้สูงอายุพูดสิ่งที่ต้องการ ผู้สูงอายุที่มีภาวะซึมเศร้า ความคิดและการเคลื่อนไหวจะช้าลง ทําให้บางทีแม้อยากจะพูด แต่ก็พูดไม่ทัน จึงควรค่อยๆ เปิดโอกาสให้พูด ไม่ควรขัดจังหวะ ควรรับฟังอย่างตั้งใจด้วยท่าทีที่สงบ ไม่แสดงความรําคาญ


– ควรเป็นฝ่ายตั้งคําถามก่อน โดยใช้คําพูดง่ายๆ เช่น วันนี้หน้าตาคุณแม่ไม่ค่อยสดชื่นเลย มีอะไรอยากจะบอกกับลูกไหม เพื่อให้ผู้สูงอายุกล้าที่จะพูดคุย


– ไม่ควรพูดตัดบท ควรฝึกใช้เทคนิคการพูดโดยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และไม่ควรพูดแทนผู้สูงอายุ ควรเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุพูดเอง ยกเว้นมีความจําเป็นที่จะต้องพูดแทน เช่น เป็นการช่วยเหลือในกรณีผู้สูงอายุนึกคําพูดไม่ออก  


– พูดคุยเรื่องที่ผู้สูงอายุสนใจ เช่น ศาสนาที่นับถือ


– ในกรณีที่ผู้สูงอายุปฏิเสธไม่ยอมทํากิจกรรมหรือปฏิเสธคําชักชวนต่างๆ ควรรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ควรต่อว่าหรือคะยั้นคะยอ อาจพูดว่าไม่เป็นไรและพูดให้กําลังใจ


– ควรกระตุ้นให้ผู้สูงอายุเริ่มพูดคุยกับคนรอบข้าง ทําให้ผู้สูงอายุรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจขึ้น หาเวลาชวนสมาชิกครอบครัวไปกินข้าวด้วยกัน เพื่อให้เกิดความผูกพัน มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และรู้สึกสุขใจ


– พูดถึงเรื่องราวในอดีตที่มีความสุข เช่น (หากผู้ดูแลเป็นลูก) บอกว่าถ้าท่าน (ผู้ดูแล) ไม่ได้มาเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ ท่านคงไม่มีโอกาสมาอยู่ตรงนี้ และคงไม่มีครอบครัวดีๆ อย่างนี้ เพื่อแสดงว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนสําคัญ สำหรับท่านคําพูดเหล่านี้เป็นเสมือนนํ้าหล่อเลี้ยงจิตใจให้คุณพ่อคุณแม่มีกําลังใจมากขึ้น


6. มีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว


คําแนะนําสําหรับผู้ดูแล


– ไม่ควรโวยวายหรือโต้เถียง ถ้าโต้เถียงจะเกิดอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นได้ทั้งสองฝ่าย เป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นความสัมพันธ์ ต้องรับฟังอย่างเข้าใจ ปล่อยให้ผู้สูงอายุระบายความรู้สึกออกมาก่อน จากนั้นลดสาเหตุที่ทําให้หงุดหงิด เบนความสนใจไปยังเรื่องที่มีความสุข


– จัดให้พักผ่อนในสถานที่สงบ รับฟังอย่างตั้งใจ อาจจับมือผู้สูงอายุระหว่างพูดคุย จะทําให้สงบได้มากขึ้น การจับและนวดเบาๆ ที่หลังมือจะช่วยลดอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียว การนวดและกดฝ่ามือจะช่วยลดความก้าวร้าวรุนแรง


7. บ่นว่าไม่สบาย ปวดนั่นปวดนี่อยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ตรวจแล้วไม่พบอะไรผิดปกติ


คําแนะนําสําหรับผู้ดูแล


– การบ่นว่าปวดตลอดเวลาเป็นสัญญาณหนึ่งที่แสดงว่าผู้สูงอายุต้องการความรักและความเอาใจใส่มากขึ้น และเป็นวิธีแสดงออกของผู้สูงอายุบางรายเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแล หรือเพื่อเรียกร้องให้ดูแลใกล้ชิดขึ้น


– ผู้ดูแลไม่ควรพูดตอกยํ้าว่าผู้สูงอายุไม่ได้เป็นอะไร แม้แพทย์จะตรวจแล้วก็ตาม ในทางตรงข้าม ผู้ดูแลควรพูดถึงอาการที่ผู้สูงอายุบ่น เพื่อให้เขารู้สึกว่าได้รับความเอาใจใส่จากผู้ดูแล รู้สึกว่าผู้ดูแลรับฟังและให้ความสําคัญกับปัญหาของเขา เช่น เมื่อผู้สูงอายุบ่นปวดหัว แต่ตรวจแล้วไม่พบปัญหาสุขภาพที่น่าหนักใจ ผู้ดูแลอาจพูดว่า คุณแม่ปวดหัวหรือคะ ปวดมากไหม หนูนวดให้ไหม เพราะการจับมือหรือบีบมือเปรียบเหมือนการสัมผัสทางใจ และเมื่อนวดเสร็จแล้วอย่าลืมถามด้วยว่า หลังจากที่หนูนวดแล้ว คุณแม่รู้สึกอย่างไรบ้างคะ ดีขึ้นใช่ไหมคะ สบายใจขึ้นไหมคะ


– การสื่อสารด้วยความรัก คอยสัมผัสและดูแลด้วยความใส่ใจเช่นนี้ เปรียบเหมือนการทดแทนหรือเติมเต็มสิ่งทีผู้สูงอายุอยากได้รับ


8. บ่นว่าตนเองเป็นภาระของลูกหลาน เบื่อตัวเองมาก รู้สึกว่าตนไร้ค่า มีความคิดอยากตายหรืออยากทำร้ายตัวเอง


คําแนะนําสําหรับผู้ดูแล


ปัญหาเรื่องผู้สูงอายุคิดอยากทําร้ายตัวเองเป็นเรื่องที่สําคัญมาก ผู้ดูแลต้องใส่ใจป้องกัน


สัญญาณเตือน


– บ่นว่าไม่ไหวแล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว เบื่อแล้ว เบื่อโลก เบื่อชีวิต


– พูดฝากฝังลูกและครอบครัวไว้กับคนใกล้ชิดว่าถ้าตนเองเป็นอะไรไป ฝากดูแลลูกเมียให้ด้วย


– จัดการสมบัติ ทําพินัยกรรม ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาอันควร


– รู้สึกสงสัยว่าตัวเองเกิดมาทําไม ในเมื่อเกิดมาแล้วก็เป็นภาระให้คนอื่น


– ผู้สูงอายุหลายคนที่มีท่าทีเศร้าสร้อย อยู่ดีๆ ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมากะทันหันเหมือนพบทางออก เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เหมือนตัดสินใจได้ว่า “ฉันจะไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว ฉันจะไปแล้ว”


การสังเกตและเฝ้าระวัง


– ควรสังเกตความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งอาจบ่งบอกว่ามีความคิดที่จะทําร้ายตนเอง และต้องเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด พยายามไม่ให้คลาดสายตา


– ระวังสิ่งของที่ใช้เป็นอาวุธได้ เช่น เชือก มีด กรรไกร ปืน ยาฆ่าแมลง หรือยารักษาโรค ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุจะมียาหลายชนิดอยู่กับตัว บางทีเกิดความคิดอยากจะหลับไปเลย ไม่อยากตื่นขึ้นมา ก็จะกินยาทั้งหมดที่มี


– พยายามหาคุณค่าในตัวผู้สูงอายุ แล้วบอกให้ผู้สูงอายุรับทราบ


โปรดระลึกไว้เสมอว่า ความคิดอยากตาย อยากทําร้ายตัวเอง หรืออยากฆ่าตัวตาย ถือเป็นสัญญาณเตือนที่สําคัญ หากผู้สูงอายุที่ท่านดูแลมีความคิดเช่นนี้ โปรดรีบแจ้งทีมผู้ช่วยเหลือในชุมชนของท่าน เช่น อสม. ผู้ใหญ่บ้าน อปพร. หรือทีมพยาบาลเยี่ยมบ้าน


 


 


 


 


 


 


 


 


 

Shares:
QR Code :
QR Code