“หวานพอดี อร่อยพอเพียง”กับเครือข่ายละอ่อนแป้บ่กิ๋นหวาน
จังหวัดแพร่ถือเป็นประตูสู่ล้านนา เป็นเมืองที่มีวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อที่อิงธรรมชาติ ดังคำขวัญที่ว่า “หม้อห้อมไม้สัก ถิ่นรักพระลอ ช่อแฮศรีเมือง ลือเลื่องแพะเมืองผี คนแพร่นี้ใจงาม” โดยเฉพาะวิถีชาวบ้านอันเรียบง่าย หากแต่สิ่งที่กำลังคืบคลานเข้าสู่เมืองแพร่ในปัจจุบัน คือ กระแสวัฒนธรรมการบริโภค ที่ไหลบ่ามาพร้อมกับความเจริญ ซึ่งส่งผลให้เกิดมุมมองการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่ประชาชนมัก “ทานปลาเป็นหลัก ทานผักเป็นประจำ” เปลี่ยนเป็นเน้นอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม มากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ ภาวะสุขภาพที่ก่อให้เกิดปัญหา อันเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่เกินพอดี ที่น่าตกใจคือ โรคฟันผุในเด็กวัยเรียนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ งานทันตสาธารณสุขเอง ก็ทำงานอย่างหนักมาโดยตลอด ทั้งในการรักษาและฟื้นฟูสภาพ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานหรือลดการเป็นโรคฟันผุของเด็กลงได้
ทพญ.สุขจิตตรา วนาภิรักษ์ หัวหน้ากลุ่มทันตสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแพร่ ได้ริเริ่มแสวงหาแนวทางการทำงานที่แตกต่าง โดยการหาข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมบริโภคอาหารและเครื่องดื่มในเด็ก ตั้งแต่ช่างอายุ 0 – 1 2 ปี ที่ส่งผลต่อสภาวะทันตสุขภาพ และในปี 2548 จึงได้รู้จักกับเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. โดยได้นำข้อมูลการสำรวจที่ได้มาผนวกกับแนวทางการทำงานไม่กินหวาน จนได้กลุ่มเป้าหมายในการปฏิบัติภารกิจ เพื่อแปรเปลี่ยนสุขภาพเด็กแพร่ โดยเริ่มจากในโรงเรียนระดับประถมศึกษา
การเดินทาง…อดีตสู่ปัจจุบัน..ในกระบวนงานที่ทำ
เมื่อพุ่งเป้าไปที่การสู้รบต้านโรคฟันผุในเด็กนักเรียนประถมศึกษาเรียบร้อย ก็วางเป้าการทำงานโดยหวัง ส่งเสริม ป้องกัน ควบคุมปัญหาโรคฟันผุ และโรคอ้วนในเด็ก โดยสนับสนุนให้สถานบริการสาธารณสุข ทั้งระดับ โรงพยาบาล และสถานีอนามัย มีบทบาทการทำงานร่วมกับชุมชน ในการจัดกิจกรรมลดการบริโภคน้ำตาลในเด็ก มุ่งสร้างภาคีเครือข่ายการทำงานที่ร่วมกัน พร้อมทั้ง ผลักดันนโยบายสาธารณะ ในประเด็นลดการบริโภคน้ำตาลในเด็ก ซึ่งการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2548 ที่ผ่านมา จากกลุ่มโรงเรียนนำร่อง 10 แห่ง จนถึงปัจจุบัน มีโรงเรียนเข้าร่วมนโยบายปลอดน้ำอัดลม ลูกอม ขนมกรุบกรอบ ถึง 104 แห่ง และมีการจัดทำเป็นนโยบายสาธารณะ โดยนำเสนอผ่านเวทีสมัชชาสุขภาพจังหวัดแพร่ในปี 2551 เห็นชอบผ่านร่างการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการบริโภคของเด็กวัยเรียน จนเกิดการรับรู้ร่วมกันทั้งจังหวัด
อีกกิจกรรมคือ นโยบายสาธารณะภายในองค์กร โดยการสร้างต้นแบบจากผู้ใหญ่สุขภาพดีสู่เด็ก ในกิจกรรม “healthy meeting ประชุมได้ผล คนได้สุขภาพ” ที่เน้นประเภทอาหารว่างและเครื่องดื่มที่หวานพอดี อิ่มพอเพียง ไม่ทำลายสุขภาพ หวังให้เกิดแนวคิดการเลือกบริโภคที่ถูกต้องแม้ในอาหารว่าง เป็นนโยบายนำร่องในองค์กรสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแพร่และสถานบริการสาธารณสุขระดับอำเภอ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ หวังให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในสถานบริการและองค์กรอื่นๆ ในเรื่องรูปแบบการทำงานที่ลดการบริโภคน้ำตาลในเด็ก
การทำงานที่ผ่านมา ได้มุ่งพัฒนารูปแบบการทำงาน โดยการสร้างทีมงานหลักระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล ซึ่งบทบาทที่แตกต่างไปตามลักษณะการทำงาน กล่าวคือ ระดับจังหวัด ดูเรื่องทิศทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ของเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ให้สอดคล้องไปกับการทำงานของกระทรวง และ สสจ.แพร่ โดยใช้แผนที่ผลลัพธ์เป็นตัวร้อยเรียงงานให้เข้ากัน จัดทำร่างยุทธศาสตร์การดำเนินงานอาหารเพื่อสุขภาพ และหาแนวทางการทำงานร่วมกัน ทั้งในระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ตามแผนพัฒนายุทธศาสตร์จังหวัดแพร่
ระดับอำเภอ กระตุ้นให้เกิดการทำงานที่เชื่อมสัมพันธ์กัน ทั้งในส่วนของทันตบุคลากรในโรงพยาบาล ให้รับรู้ สนับสนุน และนิเทศติดตามงานในพื้นที่อำเภอของตนเอง ร่วมกับทันตบุคลากรในสถานีอนามัย โดยจัดกิจกรรมในโรงเรียน และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เรื่องลดการบริโภคน้ำตาลในเด็กในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ระดับตำบล อาศัยทีม นักวิชาการสาธารณสุข เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอื่นๆ ในศูนย์สุขภาพชุมชน สถานีอนามัย โรงพยาบาล สำนักงานสาธารณสุขอำเภอที่เคยทำงานร่วมกันในโครงการภาคีร่วมใจคนไทยไร้พุงเมื่อปี 2552 มาเป็นทุนเดิมในการทำงานต่อยอดในประเด็น นโยบายสาธารณะด้านอาหารปลอดภัย ปลอดโรค
คน..งาน..สานกิจกรรมปี 2553
ในการดำเนินกิจกรรมปี 2553 นี้ ในระดับจังหวัด ได้มีการต่อยอดงานเดิม ก่อสร้างงานใหม่ โดยเฉพาะ ในกลุ่มเด็กก่อนวัยเรียน มีการสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมศูนย์พัฒนาเด็กอ่อนหวานในทุกอำเภอ โดยใช้ “กรอบการวางแผนป้องกันสุขภาพของประชาชน และการแทรกแซง การประเมินผลกระบวนการ (framework for planning public health prevention and intervention and process evaluation)” เริ่มจาก พัฒนาโครงการ วิเคราะห์ข้อมูลตามบริบทที่เป็นจริง อันส่งผลต่อเป้าหมายที่วางไว้ จากนั้น กำหนดกลยุทธ์และเลือกใช้ให้ตรงตามเป้าหมาย โดยการให้อิสระในเรื่องรูปแบบการทำงานของแต่ละอำเภอ เพียงแต่ธงที่ปักร่วมกันคือ “ศูนย์พัฒนาเด็กปลอดขนม เครื่องดื่มอันตรายต่อสุขภาพ” มีการจัดอาหารว่างเป็นผลไม้ 3 – 5 วัน/สัปดาห์ และสนับสนุนให้เด็กดื่มนมจืดเท่านั้น จากนั้น จึงได้มีการพัฒนาศักยภาพผู้ดูแลเด็ก ในเรื่องทักษะการสื่อสารกับเด็ก พร้อมทั้ง การถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านสุขภาพให้กับแกนนำ 50 คน โดยใช้นิทานและสื่อการพับกระดาษ เป็นตัวกระตุ้นจินตนาการ การคิดเชื่อมโยงเหตุผล ต่อการเกิดสุขภาพที่ดีของเด็กเล็ก เป็นการเริ่มปลูกเมล็ดกิจกรรมส่งเสริม ทันตสุขภาพ ในกลุ่มเด็กอ่อนก่อนวัยเรียน เพื่อหวังต่อยอดในอนาคต
ในส่วนกิจกรรมเด็กวัยเรียนระดับประถมศึกษา มีการทำงานร่วมกับเครือข่ายโรงเรียนเด็กไทยฟันดี ซึ่งบูรณาการงานในกิจกรรมการลดบริโภคน้ำตาลใน 63 โรงเรียน 6 อำเภอ โดยทบทวนเป้าหมายการทำงาน วางแผนการทำงานร่วมกัน และลงมือทำงานตามความต้องการของแต่ละเครือข่าย ทั้งนี้ ได้มีการจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการเรื่องอาหารว่าง และเครื่องดื่มอ่อนหวาน แก่ ครู แม่ค้า เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และทันตบุคลากร ของโรงเรียนประถมศึกษาในเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานทั้ง 104 แห่ง โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ การจัดเลือกอาหาร อาหารว่างและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์และอ่อนหวาน สาธิตการทำเครื่องดื่มอ่อนหวานในบรรจุภัณฑ์ที่เก็บได้นานขึ้น และการวิเคราะห์หาค่าน้ำตาลในเครื่องดื่มที่ถูกวิธี
ในระดับมัธยมศึกษา เป็นครั้งแรกที่ได้เชื่อมโยงงานเครือข่ายไม่กินหวานในโรงเรียนพระปริยัติธรรม โดยทำกิจกรรมพัฒนาศักยภาพแกนนำนักเรียนสามเณร 120 รูป จาก 7 โรงเรียน เป็นการให้ความรู้เรื่องการวิเคราะห์น้ำตาลในขนมและเครื่องดื่ม อ่านฉลากเป็น คิดเป็น เลือกเป็น เพื่อสุขภาพของตนเอง แปรงฟันถูกวิธีเรื่องง่ายๆ หากทำเป็น ซึ่งได้รับความสนใจจากแกนนำสามเณร และตัวแทนอาจารย์ผู้สอนโรงเรียนปริยัติธรรม และจะมีการต่อยอดในปีต่อไป
ต่อยอดและเชื่อมสร้างในระดับอำเภอ ที่ผ่านมาได้มีกิจกรรมที่น่าภาคภูมิใจ คือ กิจกรรมพี่สอนน้องขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ เป็นการทำงานร่วมกันของทีมงานหลักจังหวัดกับอำเภอ ทำงานใน 3 อำเภอนำร่อง (อ.สูงเม่น, อ.เด่นชัย, อ.วังชิ้น) เป็นการรับน้องๆ นักศึกษาทันตภิบาลจาก จ.พิษณุโลก มาเรียนรู้เรื่องการทำงานสาธารณะสุข 4 มิติ ได้แก่ รักษา ส่งเสริม ป้องกัน และฟื้นฟูสภาพ โดยให้พี่ๆ ทันตบุคลากรในอำเภอเป็นพี่เลี้ยง สอนน้องตั้งแต่ การวิเคราะห์ชุมชน การหาข้อมูล การรวมกลุ่มพูดคุย และการทำงานเชิงรุก โดยท้ายสุดมีการนำความรู้ที่ได้จากการทำงาน มาแลกเปลี่ยนกันในระดับจังหวัด
เปิดตำรับ เคล็ดไม่ลับ…งานสำเร็จ
ประการแรก คือ การสร้างทีมงานหลัก ในการขับเคลื่อนเครือข่าย และกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจให้ชัดเจน ประการที่สอง ต้องกำหนดประเด็นปัญหา กลุ่มเป้าหมาย และปักหมุดพื้นที่การทำงานให้ชัดเจน ประการที่สาม มองหาผู้ช่วย ผู้ประสานงานที่เป็นคนในพื้นที่ ทำงานร่วมกันกับทีมงานหลักเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ประการที่สี่ ใช้ทันตสุขภาพ เป็นส่วนหนึ่งของสุขภาพองค์รวม เมื่อต้องการให้เด็กมีทันตสุขภาพที่ดี ก็ต้องมองว่า สุขภาพทั่วไปต้องดีไปพร้อมกันไม่แยกส่วน โดยผู้คน องค์กร และชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ
ประการที่ห้า ใช้หลักการ 7 ช.เข้ามาสนับสนุน ได้แก่ เชื่อ-เชื่อมั่นกัน ความรักมาก่อนความรู้, เชียร์-สนับสนุน กระตุ้น, ชี้-แนะนำ บอกทาง, แชร์-มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกัน, ใช้-เกิดการนำความรู้สู่วงกว้าง, โชว์-นำสิ่งดีๆ สู่สายตาชาวโลก, ชม-ชื่นชมอย่างจริงใจทุกครั้งที่มีโอกาส ทำงานตามหลักเอื้ออาทร ประการที่หก ใช้หลักการสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา เป็นพลังในการขับเคลื่อนภายใต้การทำงนด้านวิชาการ ที่จำเป็นในการขับเคลื่อนนโยบาย ผลักดันให้เกิดนโยบายในทุกระดับ ตั้งแต่จังหวัด จนถึงพื้นที่ และอย่าลืมกระตุกสังคมให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรบเปลี่ยนพฤติกรรมในการลดการบริโภคน้ำตาล
ประการที่เจ็ด ใช้วิธีการเข้าถึงโรงเรียนคือ สร้างงานส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียนประถมศึกษาผ่าน กิจกรรมพัฒนาโครงสร้างองค์กร บริบท สิ่งแวดล้อมและนโยบาย การจัดการ สร้างหลักสูตรการเรียนการสอนที่เอื้อต่อกระบวนการ วิธีการ การบูรณาการ ในการส่งเสริมสุขภาพกับการเรียนรู้วิชาปกติ ประการที่แปด เปิดใจในการเรียนรู้ หากยังไม่เคยทำ ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ก็ค่อยๆ ริลองทำไปพร้อมกัน ประการสุดท้าย หากรู้สึกแย่และเสียกำลังใจ อย่าท้อ เพราะระหว่างทางเดินที่ก้าวผ่าน มีทั้ง ความรัก เสียงหัวเราะ ความเอื้ออาทร และความผูกพันในน้ำใจของคนทำงาน ที่ยังคงเป็นกำลังใจ เป็นพลังสำคัญให้เราเก็บเกี่ยวเป็นทุนไปสู่การเดินทางครั้งใหม่…
ที่มา : หนังสือรวมพลคนอ่อนหวาน แผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน
เรียบเรียงโดย : ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน teamcontent www.thaihealth.or.th
update : 16-11-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน