‘หวานซ่อนโรค’ รู้ทันอันตรายแฝงในของอร่อย
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
รสหวาน เป็นรสชาติอร่อยที่ทำให้หลายๆคนติดใจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะกลุ่มเด็กๆ ขนมและของหวานคือสิ่งใกล้ตัวที่แยกกันไม่ได้เลย และถึงแม้จะเป็นรสที่ถูกปากเพียงไร แต่การติดกินหวานกลับส่งผลเสียต่อสุขภาพ เป็นภัยร้ายที่ทำลายร่างกายอย่างมาก เพราะไม่ใช่แค่โรคอ้วนถามหาอย่างเดียวเท่านั้น ยังก่อให้เกิดโรคเรื้อรังอื่นๆ ตามมาอีกด้วย
เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ความรู้และอันตรายจากอาหารรสหวานที่กำลังบั่นทอนปัญหาสุขภาพของคนไทย ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในฐานะเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่รับผิดชอบสร้างเสริมด้านสุขภาวะ จึงได้เข้าร่วมจัด นิทรรศการ "หวานซ่อนโรค" ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยได้รับความสนใจจากเด็กและเยาวชนเป็นอย่างมาก
นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ด้วยศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และพัฒนาแหล่งเรียนรู้เพื่อเด็กและเยาวชน สร้างแรงบันดาลใจสู่ชีวิตสุขภาวะโดยนิทรรศการเป็นหนึ่งในรูปแบบกิจกรรมที่จะเผยแพร่องค์ความรู้ออกไปให้กับกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ
สำหรับในปีนี้ นิทรรศการที่จัดขึ้นคือ "หวานซ่อนโรค" เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงกับเด็กได้โดยตรง เป็นการให้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยหยิบยกน้ำตาลมาเป็นตัวเอกของกิจกรรม อาทิ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ว่าน้ำตาลคือสารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน แบ่งออกเป็น 3 โมเลกุล คือ 1.โมเลกุลเดี่ยว เช่น ธัญพืช น้ำผึ้ง ผลไม้สุก ดอกไม้ 2.โมเลกุลคู่ เช่น น้ำตาลทราย อ้อย น้ำเชื่อม และโมเลกุลใหญ่ เช่น ข้าว มัน เผือก ราก เมล็ด ลำต้นพืช เป็นต้น
รวมไปถึงผลดีและผลเสียของน้ำตาลจากร่างกายที่เป็นสารให้ความหวาน ให้พลังงานแก่ร่างกาย สามารถช่วยกระตุ้นการหลั่งของสารเคมีในสมอง ทำให้รู้สึกสดชื่น อารมณ์ดี โดยปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมสำหรับเด็กคือ 4 ช้อนชา ส่วนผู้ใหญ่อยู่ที่ 6 ช้อนชา แต่หากได้รับน้ำตาลจากธรรมชาติมากเกินความต้องการของร่างกาย จะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสมอง เสี่ยงภาวะซึมเศร้าถึง 58% ผิวหนังจะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย ไต เสี่ยงเกิดการทำงานล้มเหลว อวัยวะสืบพันธุ์เสี่ยงต่อการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หัวใจเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวาย กระดูก เสี่ยงต่อการเกิดโรคข้ออักเสบรุนแรง และฟัน เกิดแบคทีเรียทำให้ฟันผุ เป็นต้น
นอกจากนี้ น้องๆ จะได้เรียนรู้ความหวานผ่านบ้านขนมหวาน ผ่านภารกิจพิชิตความหวานเพื่อเรียนรู้ผลดี ผลเสียของความหวานที่มีอยู่รอบตัวเราในทุกๆ วัน กิจกรรมภายในงานมีทั้งการติดสติกเกอร์ถึงความหวานในความคิดของเด็กๆ ตามหาความหวานที่แปลงร่างว่าอยู่ที่ไหนบ้าง ได้เรียนรู้โทษจากการตักน้ำตาล ว่าขนาด 4 ช้อน หรือ 6 ช้อน มีขนาดของโทษเท่าไหร่ รวมถึงวิธีง่ายๆ ในการเผาผลาญความหวานในร่างกาย
ประโยชน์ที่น้องๆ จะได้จากการเยี่ยมชมนิทรรศการครั้งนี้ก็คือ ความสนุกสนานจากการเล่นกิจกรรมแล้วสามารถเชื่อมโยงความรู้นำกลับไปใช้ที่บ้านและในชีวิตประจำวันได้ ตั้งแต่ประโยชน์และโทษของน้ำตาล อันนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมว่าควรบริโภคน้ำตาลมากน้อยขนาดไหนให้เหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองและคนรอบข้าง ด้วยการหันมาใส่ใจในอาหารการกิน ฝึกลดและเลิกเติมน้ำตาลลงในอาหาร โดยเลือกกินอาหารที่มีน้ำตาลน้อย หรือที่ไม่มีน้ำตาลเจือปน แล้วจะพบว่านอกจากอาหารที่กินนั้นจะมีรสชาติดีอยู่แล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมทั้งร่างกายและจิตใจ
โดยหลังจากจบงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติแล้ว นิทรรศการดังกล่าวจะถูกนำไปแสดงหมุนเวียนตามศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ดังกล่าวต่อไป สามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมที่น่าสนใจของศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส.เพิ่มเติมได้ที่ www.thaihealthcenter.org
ตามใจปาก ลำบากกาย
น้องดิว-อนุชา อินชุบ อายุ 11 ขวบ นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนวัดทับหมัน บอกว่า หลังจากได้เดินชมและร่วมกิจกรรมหวานซ่อนโรค รู้สึกสนุกมากครับ มีกิจกรรมให้เล่นเยอะ และยังได้รับความรู้เกี่ยวกับประโยชน์และโทษของน้ำตาล ว่าถ้าเรารับประทานเยอะก็จะทำให้เกิดโรคมากมาย ทั้งโรคอ้วนและเบาหวาน ซึ่งตนเองก็ชอบทานขนม หลังจากได้ความรู้ครั้งนี้ก็ตั้งใจจะเลือกทานขนมที่มีประโยชน์ ลดทานขนมที่หวานๆ ลงครับ
น้องปลายฟ้า-กันนิกา บุญจะเทพ อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนเทศบาลศรีบุณยานุสสรณ์ บอกว่า สำหรับนิทรรศการนี้ทำให้หนูรู้ว่าในแต่ละวันเด็กควรจะกินน้ำตาลวันละ 4 ช้อน ส่วนผู้ใหญ่วันละ 6 ช้อน เพื่อไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย และได้ความรู้เกี่ยวกับความน่ากลัวของน้ำตาลด้วยค่ะว่าทำให้เกิดโรคมากมาย ซึ่งตัวหนูเองก็กินน้ำตาลเยอะกว่าที่กำหนด เพราะชอบทานน้ำอัดลม ขนม โดนัท หลังจากนี้หนูเองก็คงต้องปรับพฤติกรรมโดยกินให้น้อยลงค่ะ
น้องชีรีน-จริยพร ซาทละกุล อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนบูรณะศึกษา บอกว่า หนูรู้สึกสนุกมากๆ ค่ะที่ได้เข้าไปเล่นในกิจกรรมนี้ มีทั้งการให้เล่นเกมและให้ความรู้ ทำให้ทราบประโยชน์ของความหวานและโทษของน้ำตาลที่เกิดขึ้นหากรับประทานมากเกินไป ซึ่งความรู้ที่ได้ก็ช่วยให้เราปรับพฤติกรรมในการเลือกทาน หรือหากจะทานก็ต้องควบคู่กับการออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะไม่เช่นนั้นเราอาจป่วยด้วยโรคอ้วน เบาหวาน ได้ค่ะ
น้องญา-กันยพัศร์ ธนัตธีรโรจน์ อายุ 11 ปี นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนบูรณะศึกษา บอกว่า นิทรรศการของ สสส.ที่จัดขึ้นดูมีความน่าสนใจค่ะ ทำเป็นรูปบ้านขนมหวาน ดูน่ารักมากๆ ค่ะ พอเข้าไปก็มีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำ พร้อมกับให้ความรู้เรื่องของความหวาน ว่ามีอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะขนมหวานที่เด็กๆ ชอบรับประทานกันจะมีปริมาณน้ำตาลมาก ต้องรู้จักเลือกทานค่ะ