หวัด 2009 เตือนระบาดหนักสิ้นปี
อย่าหลงซื้อยาต้านไวรัสทางเน็ต
สธ.ชี้หวัด 2009 มีแนวโน้มระบาดเพิ่มปลายปี เตือนประชาชนอย่าประมาทป้องกันตนเอง เผยสถานการณ์รอบสัปดาห์ มีคนตายจากหวัด 2009 เพิ่ม 14 ราย รวมสะสม 111 ราย ชี้พบผู้ป่วยเพิ่ม 25 จังหวัด ด้าน “ฮู” ชี้ปัญหาทำวัคซีนเพาะเชื้อขึ้นไม่พอนั้น แค่เรื่องเทคนิค ไม่เป็นปัญหา เตรียมหารือผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์จากเจนีวาวันนี้
นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช1 เอ็น1 (โรคไข้หวัดใหญ่ 2009) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในรอบ 7 วัน มีแนวโน้มชะลอตัวใน กทม.และปริมณฑล แต่ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในต่างจังหวัด โดยพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 25 จังหวัด ซึ่ง จ.ฉะเชิงเทรา มีตัวเลขผู้ป่วยพุ่งสูงที่สุด ซึ่งคงต้องติดตามหาสาเหตุต่อไป และเมื่อพิจารณาตามช่วงอายุ พบว่าเริ่มชะลอตัวในกลุ่มอายุ 11-24 ปี กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ซึ่งผู้ว่าราชการและสาธารณสุขจังหวัดแต่ละจังหวัดได้ร่วมกันเฝ้าระวังและควบคุมโรคในพื้นที่
แนวโน้มการระบาดสำนักระบาดวิทยาคาดการณ์ว่า โรคยังมีแนวโน้มจะแพร่ระบาดในช่วง 2 เดือนข้างหน้า ซึ่งช่วงปลายฝนต้นหนาว ประกอบกับระยะนี้เป็นช่วงแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลพร้อมกันไปด้วย จึงขอย้ำเตือนประชาชนอย่าละเลยการป้องกันตัว ขอให้ล้างมือด้วยน้ำสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ และคาดหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่มีคนแออัด
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ของไทยรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 9-15 ส.ค.2552 ได้รับรายงานผู้เสียชีวิต 14 ราย เป็นชาย 7 ราย หญิง 7 ราย ในจำนวนนี้ 85% มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคปอดหรือสูบบุหรี่จัด ภาวะอ้วน โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคระบบเลือดและโรคเบาหวาน สรุปภาพรวมตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย.2552 ถึงปัจจุบัน ไทยมีผู้เสียชีวิตรวม 111 ราย
“ขอเตือนประชาชนในช่วง 2 เดือน อย่าเพิ่งประมาท เพราะเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว โดยขอให้ประชาชนระวังตัว ล้างมือบ่อยๆ สวมหน้ากากไปในชุมชน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะเสี่ยง ที่มีโรคเรื้อรัง โรคอ้วน และหญิงตั้งครรภ์ ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ” นพ.ไพจิตร์ กล่าว และว่า ในกลุ่มประชาชนที่ไม่มีโรคประจำตัว แต่หากมีอาการปวดศีรษะ ไข้สูง และท้องเสีย ควรรีบไปโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง แต่คนที่มีโรคประจำตัวและมีภาวะเสี่ยงต่อโรครุนแรงเมื่อเริ่มมีอาการควรไปโรงพยาบาลทันที
กระจายยาให้คลินิกแล้ว 571 แห่ง
ส่วนการกระจายยาโอเซลทามิเวียร์ไปยังคลินิกนั้น ขณะนี้มีการสรุปตัวเลขคลินิกเอกชนที่เข้าร่วมโครงการกระจายยาแล้ว มีจำนวน 571 แห่ง จากจำนวนคลินิกทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 12.99
นายมัวรีน เบอร์มิงแฮม ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้องค์การอนามัยโลกแจ้งว่า ประเทศต่างๆ ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูล จำนวนผู้ป่วยที่ตรวจยืนยันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มายังองค์การอนามัยโลกเป็นประจำเช่นในระยะแรกของการระบาด และจะไม่มีการจัดอันดับประเทศตามจำนวนผู้ป่วยหรือผู้เสียชีวิตอีกต่อไป แต่สามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์การระบาดในระดับนานาชาติทั้งจากองค์การอนามัยโลกและสื่อต่างๆ ซึ่งการรายงานเมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตแล้ว 1,735 ราย ขณะที่การแพร่ระบาดเกิดขึ้นเกือบทุกทวีปแล้ว ซึ่งในบางประเทศเริ่มพบการแพร่ระบาด เช่น มาเลเซีย อินเดีย ส่วนประเทศไทยนั้น การแพร่ระบาดเริ่มชะลอตัวลดลง
ส่วนการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นั้น ทางองค์การอนามัยโลกได้ร่วมกับประเทศสมาชิกทำการประเมินและติดตามปัญหา และนำมาใช้ประโยชน์ในการวางแผนควบคุมและรับมือการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ร่วมมือในเรื่องนี้ โดยมีการจัดตั้งทีมงานวิชาการร่วมกัน โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากเจนีวา และฮ่องกง เพื่อร่วมกันทบทวนยุทธศาสตร์ต่างๆ ตลอดจนประสบการณ์ที่ได้ดำเนินการมา
หารือ”ฮู”ปัญหาผลิตวัคซีนวันนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัญหาการผลิตวัคซีนของทางองค์การเภสัชกรรม ซึ่งพบว่าความเข้มข้นของเชื้อในตัวไข่ได้น้อยกว่าที่จะนำมาทดลองฉีดได้ ทางองค์การอนามัยโลกจะแนะนำอย่างไร ดร.มัวรีน กล่าวว่า รายละเอียดทางเทคนิคเกี่ยวกับวัคซีนนี้สามารถดูได้ทางเว็บไซต์องค์การอนามัยโลก และปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาสำคัญอะไร เป็นแค่เรื่องทางเทคนิคเท่านั้น และในวันนี้ (20 ส.ค.) จะมีการนำเรื่องนี้หารือในการประชุมผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์กับทางเจนีวา เพื่อขอคำแนะนำด้านเทคนิค อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาทั้งผู้เชี่ยวชาญในการทำวัคซีนของไทย และองค์การอนามัยโลกมีการพูดคุยกันเป็นระยะๆ อยู่แล้ว
นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในการประมาณการผู้ติดเชื้อโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ขณะนี้ใช้หลักการคำนวณทางวิชาการ เป็นการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ ซึ่งทำให้ทราบข้อมูลที่ใกล้เคียงความเป็นจริง โดยผู้เสียชีวิต 1 รายจะมีผู้ป่วยประมาณ 10,000 ราย ซึ่งที่ผ่านมาคาดว่าประเทศไทยน่าจะมีผู้ป่วยอยู่ที่ 500,000 รายแล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สำนักระบาดฯ มีการคาดการณ์ตัวเลขใหม่แล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่คำนวณในช่วงสิ้นเดือน ก.ค. และจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะทำด้านยุทธศาสตร์ในวันจันทร์ที่ 24 ก.ค.นี้
เตือนอย่าซื้อยาต้านไวรัสทางเน็ต
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ปัจจุบันมีการโฆษณาขายยาต้านไวรัส ไม่ว่าจะเป็นยาโอเซลทามิเวียร์ หรือยาซานามิเวียร์ รวมทั้งมีการอ้างว่าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรผสมยาต้านไวรัส ผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต จึงขอย้ำว่า ยาต้านไวรัสดังกล่าวจัดเป็นยาควบคุมพิเศษ และมีเงื่อนไขให้ใช้เฉพาะโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ไม่มีจำหน่ายในร้านขายยาทั่วไป โดยกระทรวงสาธารณสุขมีการกระจายยาต้านไวรัส (โอเซลทามิเวียร์) ไปยังโรงพยาบาลและคลินิกที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้น
ดังนั้นการโฆษณาขายยาทางอินเทอร์เน็ต จึงมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการลักลอบขายยาต้านไวรัสทางร้านขายยาด้วย ที่จะต้องมีความผิดตามกฎหมายเช่นกัน จึงขอให้ผู้ป่วย ผู้ปกครอง ญาติพี่น้องของผู้ป่วย รวมถึงผู้ที่ไม่ได้ป่วย อย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อผู้ประกอบการที่โฆษณาขายยาต้านไวรัสในรูปแบบต่างๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และตามร้านขายยาที่อาจจะมีการลักลอบขายโดยเด็ดขาด เพราะนอกจากเสียเงินจำนวนมากแล้ว ยังอาจเสี่ยงกับการใช้ยานั้น เพราะไม่ได้อยู่ภายใต้การสั่งจ่ายและดูแลโดยแพทย์
นอกจากนี้การได้รับยาอย่างไม่เหมาะสม จะทำให้เชื้อไวรัสดื้อต่อยาได้ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้มีอาการป่วย เพราะหากมีอาการป่วยจริงๆ ยาจะไม่สามารถรักษาอาการป่วยได้ และที่สำคัญ อาจเป็นยาปลอมและยาเสื่อมคุณภาพ ซึ่งไม่มีใครสามารถรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ยาดังกล่าว และทำให้ผู้บริโภคขาดโอกาสในการรักษาโรคที่ถูกต้องและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการกระทำที่ผิดกฎหมายด้วย โดยในกรณีตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นยาปลอม ผู้จำหน่ายจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-20 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-10,000 บาท
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Update: 20-08-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่