“หมอมงคล” บุกเดี่ยว 3 จ.ชายแดนใต้ ติดตามสถานการณ์หวัด 2009
เตือนระวังหน้าฝน ธ.ค.-ม.ค.
“หมอมงคล” ลุยปัตตานี แก้ปัญหาหวัด 2009 ภาคใต้ พบฤดูกาลแตกต่างภาคอื่น ต้องระวังช่วงหน้าฝน ธ.ค.-ม.ค. ห่วงจังหวัดท่องเที่ยว พบตรังระบาดมากสุด เทศบาลปัตตานีแออัดเสี่ยงโรคระบาด ชี้ 3 จังหวัดชายแดนใต้ คนไม่สนป้องกันหวัดห่วงความปลอดภัยจากเหตุรุนแรงมากกว่า ยกแสปนิชฟูลเกิดในช่วงสงคราม แต่ทำให้คนตายจากหวัดมากกว่าการรบ
เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี นพ.มงคล ณ สงขลา ประธานคณะอนุกรรมการสนับสนุนป้องกันและควบคุมแก้ปัญหาการระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในการเสวนา “อปท.ปัตตานีรวมพลังสู้หวัด 2009” ว่า สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 ขณะนี้มีผู้เสียชีวิต 153 ราย ในสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีผู้เสียชีวิตในเขต กทม. แต่กระจายอยู่ในต่างจังหวัด ซึ่งสถานการณ์ในภาคใต้ แม้ยังไม่รุนแรงเท่าภาคเหนือหรืออีสาน ที่ขณะนี้มีการระบาดสูง แต่จำเป็นต้องระวังมากเช่นกัน เพราะฤดูกาลในภาคใต้แตกต่างจากภาคอื่น ที่ต้องระวังในช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่ภาคใต้ต้องระวังในช่วงหน้าฝน ซึ่งอยู่ในช่วงเดือน ธ.ค.-ม.ค. ดังนั้นต้องเร่งประชาสัมพันธ์ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือในช่วงที่อาจจะมีการระบาดรุนแรง
นพ.มงคล กล่าวว่า ในภาคใต้ขณะนี้พบผู้ป่วยในจ.ตรัง มากที่สุด เพราะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมามากกว่าพื้นที่อื่น ซึ่งทำให้ต้องจับตาในเขตท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษเพราะจะทำให้ส่งผลต่อประชาชนในท้องถิ่น และกระทบต่อเรื่องการท่องเที่ยวด้วย ทั้งนี้ โดยรวมแล้วสถานการณ์ในเขตพื้นที่ภาคใต้ยังมีอัตราการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะ จ.ปัตตานี ขณะนี้พบผู้เสียชีวิต 2 ราย และเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่มีโรควัณโรคแทรกซ้อน และเป็นหญิงตั้งครรภ์
“แม้ว่าใน 3 จังหวัดภาคใต้แม้จะมีความไม่สงบในพื้นที่ ทำให้คนในชุมชนให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตมากกว่าการป้องกันตัวจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ แต่ก็ไม่อยากให้ประชาชนไม่ประมาท เพราะแม้แต่ในช่วงสงคราม ซึ่งเกิดการระบาดของแสปนิชฟูล ก็มีคนตายจากโรคระบาดมากกว่าสงคราม จึงไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้นก่อนแล้วค่อยแก้ทีหลัง เพราะอาจทำให้ไม่สามารถรับมือได้”นพ.มงคล กล่าว
นพ.มงคล กล่าวอีกว่า จากการลงพื้นภาคใต้ที่ทำให้พบว่า ผู้นำชุมชนในทุกระดับมีความเข้มแข็งมีความตระหนัก ช่วยกันป้องกันตัวเองได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังต้องดำเนินการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง ประชาชนทุกคนควรต้องมีความรู้ในเรื่องการป้องกันตนเองโดยการล้างมือบ่อยๆ และสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชน รวมทั้งสามารถล้างมือในน้ำเปล่าและสบู่โดยไม่จำเป็นต้องใช้เจลล้างมือ โดยจะต้องส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมที่ต่อเนื่อง ทั้งที่โรงเรียน มัสยิด ซึ่งตามหลักศาสนาอิสลาม เน้นในเรื่องการทำความสะอาดอยู่แล้วจึงไม่น่าเป็นห่วงมากนัก ซึ่งชุมชนในปัตตานีถือว่ามีความเข้มแข็งในการแก้ปัญหามาก
นายพิทักษ์ ก่อเกียรติพิทักษ์ นายกเทศมนตรีเมืองปัตตานี กล่าวว่า เทศบาลเมืองปัตตานีให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพอย่างยิ่ง แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่ชายแดนทำให้ประชาชนไม่ให้ความสนใจกับโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 มากนัก ทั้งที่โรคนี้ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ จึงพยายามจัดกิจกรรมให้ความรู้ประชาชน โดยเฉพาะประชาชนในเขตเมือง ซึ่งเทศบาลเมืองปัตตานี ถือเป็นพื้นที่แออัดมากที่สุดในจังหวัด จึงเป็นพื้นที่เสี่ยงที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดโรคได้ง่าย เพราะมีกิจกรรมพบปะสังสรรค์ กิจกรรมทางศาสนา หลังจากได้หารือ กับคณะทำงาน และ อสม.และแกนนำชุมชน ได้มีการวางแผนใช้เงินกองทุนสุขภาพตำบล นำเงินในกองทุนส่งเสริมให้กลุ่มแม่บ้านผลิตหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และความรู้คนในชุมชน โดยการเคาะประตูบ้าน และทำรูปภาพอธิบายการป้องกันโรคสำหรับผู้สูงอายุ และผู้ไม่รู้หนังสือ เพื่อให้สามารถดูแลตนเองได้ รวมทั้งทำประชาสัมพันธ์ในสังกัดโรงเรียนเทศบาล ให้ความรู้เรื่องไข้หวัดใหญ่ ทำแผ่นพับให้เด็กไปให้ผู้ปกครอง ได้รับความสนใจอย่างมาก
ทั้งนี้ นพ.มงคล ได้มอบ ประกาศนียบัตรแก่ชุมชน ต.บือติงกำปง เป็นชุมชนต้นแบบในการป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ โดยชุมชนดังกล่าวมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องรวมถึงมีวิธีในการช่วยเหลือคนในชุมชนโดยการให้กลุ่มแม่บ้านผลิตหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือเพื่อแจกจ่าย และจำหน่ายให้แก่คนในชุมชนในราคาถูกด้วย
ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.
Update 17-09-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์