หนุนใช้กองทุนสุขภาพตำบล ปรับพฤติกรรมชุมชนป้องกันโควิด-19

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ


หนุนใช้กองทุนสุขภาพตำบล ปรับพฤติกรรมชุมชนป้องกันโควิด-19 thaihealth


แฟ้มภาพ


ย่างเข้าเดือนที่ 5 แล้วที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) โดยเริ่มจากการระบาดในกลุ่มเล็กๆ จากคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ก่อนจะขยายไปสู่คลัสเตอร์ใหญ่ๆ แล้วแพร่กระจายไป ทั่วประเทศจนตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมในขณะนี้ อยู่ที่ประมาณ 3,000 รายแล้ว


อย่างไรก็ดี จากมาตรการต่างๆ ที่รัฐกำหนดก็ทำให้สถานการณ์ในระยะหลังเริ่มคลี่คลายลงไปได้อย่างมาก จากตัวเลขผู้ติดเชื้อหลักร้อย ต่อวันก็ลดลงเหลือหลักสิบและหลักหน่วย ในที่สุด หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้เลยในการควบคุมการระบาด คือความเข้มแข็ง ในระดับชุมชนที่ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐอย่างจริงจัง ทั้งการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค การใส่หน้ากาก ล้างมือและรักษาระยะห่างทางสังคม การตรวจเช็คและการกักตัวผู้เข้ามาในพื้นที่ 14 วันจนพ้นระยะฟักตัวของโรค และ การใช้ งบกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น เพื่อช่วยต้านภัยโควิด-19 ในการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่


แกนหลักในการดำเนินการคือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตลอดจนแกนนำ ภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ งบประมาณจากหลายแหล่งที่ถูกดึงเข้ามา สนับสนุนการทำงานให้ไหลลื่นและจัดหา "ของ" มาใช้ปฏิบัติงาน ทั้งเงินที่ส่วนกลางสนับสนุนลงไป เงินขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เงินบริจาคในชุมชน และยังมีอีกส่วนที่สำคัญคือกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น หรือที่เรียกสั้นๆว่ากองทุนสุขภาพตำบล ซึ่ง สปสช.และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดูแลอยู่ มีหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคโดยตรง


นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า กองทุน ดังกล่าวเป็นกองทุนตามมาตรา 47 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545 ซึ่ง สปสช.ได้ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล สมทบเงินกันจัดตั้งกองทุนเพื่อดูแลพื้นที่ของ ตัวเอง โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ ปี 2551 และพัฒนาความเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันท้องถิ่นแต่ละท้องถิ่นจะมี งบประมาณหมุนเวียนในพื้นที่ทุกปี รวมแล้วประมาณ 3,800 ล้านบาท ใน 7,500 ตำบลทั่วประเทศ


ทั้งนี้ ปกติแล้วกองทุนสุขภาพตำบลจะเน้นดูแลคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพประมาณ 4-5 มิติ เช่น เด็กเล็ก โรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ เป็นต้น แต่ขณะนี้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งก็มีอยู่กว่า 4,000 ตำบลที่นำงบประมาณไป ใช้กับเรื่องนี้ รวมแล้วกว่า 7,000 โครงการ ทั้งในเรื่องการสร้างการรับรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เพื่อให้ชุมชนรับรู้ สุขภาวะของตัวเอง การป้องกัน โดยเฉพาะการหาเจล การทำหน้ากาก เพื่อเป็นการป้องกันคนในชุมชน ตลอดจนสนับสนุนงบประมาณการประสานงานและติดตามแก่ อสม. ในการเฝ้าระวังผู้มาจากต่างจังหวัดหรือพื้นที่เสี่ยงในพื้นที่ รวมแล้วเป็นวงเงินประมาณ 600 ล้านบาท


"แม้ในอนาคตจะมีวัคซีนออกมาได้ แต่สิ่งสำคัญคือพฤติกรรมทางสังคม ในอนาคตโควิด-19 คงอยู่กับเราไปอีกนาน คำถามคือเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น เศรษฐกิจต้องเดินหน้า กิจกรรมต่างๆ ที่จะกลับมาดำเนินการจะทำอย่างไร โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก สนามกีฬา จะเปิดอย่างไร เรื่องเหล่านี้ต้องมีคำตอบที่เป็นรูปธรรมในการดำเนินการ สิ่งสำคัญต่อจากนี้ จาก 4,000 ตำบลคงขยายเป็น 7,500 ตำบล ในเร็วๆ นี้ในการทำเรื่องส่งเสริมป้องกันโควิด-19 เชื่อว่าถ้า 7,500 ตำบล เข้มแข็ง สามารถขับเคลื่อนภายใต้ทิศทางของกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาล จะสามารถป้องกันควบคุมโรคได้ ปัญหาต่างๆ จะเกิดน้อยลง ทำให้ชีวิตดำรงในสังคมร่วมกันได้" เลขาธิการ สปสช. กล่าว


ธีรวุฒิ กลิ่นกุสุม นายกเทศมนตรีนครรังสิต หนึ่งในท้องถิ่นที่นำงบประมาณจากกองทุนสุขภาพตำบลมาขับเคลื่อนการควบคุมป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 เล่าว่าได้ใช้งบจากกองทุนสุขภาพตำบลประมาณ 6 ล้านบาท ใน 3 เรื่องหลักๆ คือ 1.กิจกรรมที่มีผลกระทบกับประชาชนในเชิงพื้นที่ 2.กิจกรรมสนับสนุนเครื่องมือและสร้างความปลอดภัยแก่ผู้ปฏิบัติที่เป็นอาสาสมัคร และ 3.สนับสนุนเครื่องมือและองค์ความรู้แก่เจ้าหน้าที่


โดยในช่วงแรกได้ให้ อสม. เป็น ผู้จัดทำโครงการขอรับเงินไปดำเนินงานพัฒนาการสอนวิธีทำหน้ากาก ระยะต่อมาคือการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เฝ้าระวังในเชิงพื้นที่ จัดหาน้ำยาฆ่าเชื้อ เจลแอลกอฮอล์เพื่อส่งมอบให้ผู้ปฏิบัติงานและประชาชนใช้งาน และเมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงปัจจุบันก็มีการขับเคลื่อนเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มเสี่ยงต่างๆ ทั้งผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ก็ได้นำองค์ความรู้และอุปกรณ์ป้องกันไปให้ รวมทั้งกลุ่มอาชีพผู้ให้บริการ เช่น วินมอเตอร์ไซค์ ผู้ประกอบการรถตู้ ผู้ประกอบการ ร้านอาหาร ก็ต้องสร้างมาตรฐาน ให้ความรู้และให้อุปกรณ์ในการป้องกันตัว เช่นกัน


"ระยะต่อไปเมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆมากขึ้น ทางท้องถิ่นก็เตรียมรับข้อมูลองค์ความรู้จาก สธ. และแนวปฏิบัติของรัฐเพื่อส่งต่อไปยังอาชีพต่างๆ เช่น ถ้าผ่อนคลายเรื่องร้านตัดผม จะเตรียมส่งต่อองค์ความรู้และแนวปฏิบัติอย่างไร" ธีรวุฒิ กล่าว ทั้งนี้การดำเนินการขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่อนุมัติงบประมาณ กองทุนสุขภาพตำบลมาขับเคลื่อนการป้องกันโรคโควิด-19 อยู่บนพื้นฐานดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาและ ยึดประโยชน์รวมเป็นหลัก แม้ในอนาคตจะมีวัคซีนออกมาได้ แต่สิ่งสำคัญคือพฤติกรรมทางสังคม ในอนาคตโควิด-19 คงอยู่กับเราไปอีกนาน" ธีรวุฒิกล่าว

Shares:
QR Code :
QR Code