‘สุขแท้ด้วยปัญญา’ สร้างสุขหยุดทุกข์ด้วยใจ
ถึงจะรู้ดีชนิดเข้าทำนอง คิดได้-ถามได้-ตอบได้ แต่กับบางเรื่องที่แสนคุ้นชินอย่าง “การหาความสุข” ดูเหมือนเป็นเรื่องสุดคลาสสิกที่ความรู้ที่มี อาจไม่มีผลผูกพันต่อ “การกระทำ” เลย (ก็ได้) เห็นง่ายๆ เอาจากปรากฏการณ์บรรดาหนังสือหรือสื่อต่างๆ จำพวกเข็มทิศการใช้ชีวิต ที่นับวันยอดขายจะสูงลิ่วและถูกผลิตซ้ำติดอันดับ หากในภาพรวมของสังคม กลับไม่มีสัญญาณใดบอกได้ว่าผู้อาศัย (ที่น่าจะเคยผ่านตาหนังสือเหล่านั้นบ้าง) จะมีสุขจริง
ที่มาของการเกิดสุขที่แท้จริง จึงไม่น่าจะถูกจำกัดที่การรับรู้เพียงประเภทบอกต่อ และร่วมรับฟังเพียงอย่างเดียว หากต้องบวกความพยายามฝึกฝนปฏิบัติคล้ายแบบฝึกหัด พร้อมทบทวนตัวเองอยู่ในที เมื่อความสุขเกิดจากการปฏิบัติ
2-3 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายพุทธิกา ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้ชูแนวคิด “สุขแท้ด้วยปัญญา” ขึ้นพร้อมกับเกิดโครงการย่อย ให้แต่ละโปรเจกต์ไปแสวงหาความสุขตามแต่ละบริบทพื้นที่ ประหนึ่งตั้งโจทย์ทำการบ้านด้วยตัวเอง โดยมีกติกา 4 ประการ ที่ว่าการฝึกฝนสร้างความสุขที่ว่านั้นต้องคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเอง ต้องไม่พึ่งพาความสุขทางวัตถุ ต้องเชื่อมั่นในความเพียร ไม่หวังลาภลอยคอยโชค และ ต้องรู้จักคิดอย่างมีเหตุผลและเป็นประโยชน์เกื้อกูล
เมื่อแนวทางการสร้างสุขได้ถูกกำหนดด้วยความต่าง กระบวนการทำกิจกรรมจึงไม่ซ้ำแบบกัน สุขที่ได้จึงมีที่มาหลากหลาย ดังเช่น
คุณลัดดา สงกระสินธ์ หัวหน้าโครงการ “ศิลปะติดดิน ศิลปินหลังห้อง” หนึ่งใน 58 โปรเจกต์ “สุขแท้ด้วยปัญญา” ปี 3 มองถึงความสุขว่า ก่อนจะเกิดขึ้นได้ ต้องทำความเข้าใจตัวเองก่อนอย่างแรก กล่าวคือเราต้องทำความเข้าใจตัวเองว่า เราต้องการอะไร มองให้ลึกถึงแก่นของมัน อย่าไปมองแค่เปลือก มิเช่นนั้นการตอบสนองความสุข จะถูกจำกัดเพียงวัตถุสิ่งของ
ก่อนจะเล่าถึงการสร้างความสุขด้วยงานศิลปะไม่จำกัดรูปแบบ ตามฉบับกลุ่ม “กิ่ง ก้าน ใบ” ให้แก่เยาวชนและผู้สนใจใน จ.อุตรดิตถ์ ซึ่ง คุณลัดดาสะท้อนภาพรวมๆ ให้ฟังว่า ในปัจจุบันเยาวชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ที่ทำกิจกรรมนั้น ได้ยึดโยงเวลาว่างของตัวเองกับการเข้าร้านเกม การซิ่งมอเตอร์ไซค์ กระทั่งการใช้และความต้องการเครื่องมือสื่อสารที่ล้นเหลือ ซึ่งทั้งหมดนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามมา
“ตัวอย่างจากกลุ่มเด็กผู้ชายที่ชอบขับมอเตอร์ไซค์ซิ่ง เมื่อสอบถามได้คำตอบว่า นั้นคือความสุขของพวกเขา เราเห็นว่าไม่น่าจะถูก จึงชวนมาตั้งข้อสงสัยผ่านกิจกรรม เริ่มจากเมื่อเขาได้หยุดตัวเองจากกิจกรรมเดิมๆ ที่เคยทำ มาจับดินสอวาดรูป เราให้โจทย์เขาว่าให้วาดรูปความสุขของตัวเอง ซึ่งไม่แปลกว่าภาพความสุขที่ออกมานั้น คือภาพที่เขาซิ่งมอเตอร์ไซค์กับเพื่อน เราจึงให้เขาคิด และวาดภาพต่อถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากการขี่มอเตอร์ไซค์” ลัดดาเล่าถึงเรื่องราวกิจกรรมเปลี่ยนความคิดเยาวชน
ซึ่งภาพเหตุการณ์ที่เยาวชนสะท้อนออกมานั้น คุณลัดดาอธิบายว่า มี 2 กรณี นั่นคือหนึ่งเขาได้รับเสียงเชียร์จากเพื่อน และสองรถของเขาได้เกิดอุบัติเหตุ และมีคนเดือดร้อน ซึ่งนำไปสู่กระบวนการต่อไป ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ความสุขที่เขาอาจจะได้รับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น มีความคุ้มค่าและอะไรที่มีความสุขมากกว่ากัน
ลัดดาบอกด้วยว่า กระบวนการพิจารณาอย่างรอบด้าน ทำให้เยาวชนคิดได้ว่า ความสุขที่เขาหาได้จากการซิ่งมอเตอร์ไซค์นั้น เป็นแค่เปลือก แต่แก่นของมันอยู่ที่อำนาจ การได้ความยอมรับจากเพื่อน ซึ่งนั้นนำไปสู่คำถามต่อที่ว่า จำเป็นหรือไม่ที่การยอมรับต้องเกิดจากการซิ่งมอเตอร์ไซค์อย่างเดียว
อีกด้านหนึ่ง “สมัย วรหาร” สมาชิกโครงการ “เยาวชน ค้นธรรม นำทางสู่ความสุขด้วยปัญญา” จากพื้นที่ อ.กุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี เล่าว่า แม้จะมีอาชีพทำการเกษตร แต่เขารู้มาตลอดแล้วว่า การได้มาซึ่งความสุขนั้นมีที่มาจาก “ใจ” เพราะที่ตรงนี้เสมือนเป็นศูนย์รวมของชีวิตไว้ แต่ความรู้แค่นั้น ก็ไม่ได้ทำให้เปลี่ยนพฤติกรรมการกินเหล้า การใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย การใช้ชีวิตไปวันๆ เข้าทำนอง “ทำงาน กินเหล้า เข้านอน” วนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ได้
“ที่อีสานมีครูบาอาจารย์มากมาย มีหลักคำสอนที่เป็นที่ศรัทธา ผมเองก็รู้ เราเองก็อยากทำดี เป็นคนที่มีคุณค่า แต่บางทีมันเหมือนกับว่า อยากจะเริ่มต้นอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน” สมัยว่า
จนถึงเวลาที่เทศบาลตำบลกุดข้าวปุ้น ทำโครงการจากแนวทาง “สุขแท้ด้วยปัญญา” เขาจึงลองเข้ามาศึกษาดู แม้ทีแรกจะไม่ได้คาดหวังอะไรก็ตาม
“พอได้มาลองทำ มันเหมือนกับเติมสิ่งที่เราอยากรู้อยู่แล้ว ได้เข้าไปศึกษาธรรมที่ครั้งหนึ่งเราเคยได้ยิน ได้ช่วยเหลือสังคมผ่านการบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ ทำตัวเองให้ดี ไม่เป็นภาระของสังคม ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ นี่คือสิ่งแรก จากนั้นเมื่อเรามีกำลัง มีแรง เราต้องช่วยเหลือผู้อื่นด้วย” สมัยบอกและว่า การเลิกเหล้าดูจะเป็นอีกรูปธรรมหนึ่งที่เขาค้นพบหลังร่วมกิจกรรม
เมื่อถามถึงแนวทางแห่งความสุขในชีวิตต่อไป หนุ่มวัย 27 ปี ที่เพิ่งตัดสินใจเริ่มศึกษาต่อในการศึกษานอกระบบรายนี้ บอกว่า ‘ความพอดี’ นอกจากการพัฒนาตัวเองให้มีคุณค่าแล้ว ผมให้ความสำคัญกับความพอดี จะทำอะไรต่อจากนี้จะยึดหลักความพอดีไม่อยากได้ อยากมีมากจนเกินไป ” สมัย กล่าว
ส่วนความสุขที่แปรจากความทุกข์ของ “ปราณี วิโรจน์รัตน์” จ.สุรินทร์ ผู้ป่วยโรคไตที่รักษาตัว มากกว่า 10 ปี หนึ่งในผู้ร่วมกิจกรรม “สุขแท้แม้ฟอกไต” ก็ช่างยิ่งใหญ่นักเธอเล่าว่า เคยท้อแท้และเกือบสิ้นหวัง เพราะการป่วยโรคไตของเธอนั้นมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ด้วย
“แต่เราพยายามจะคิดในแง่ดี และโชคดีที่ได้เพื่อน เมื่อได้เข้ามาทำกิจกรรม มันเหมือนกับว่าเรามีเพื่อนที่จะพูดคุยกันอย่างเข้าอกเข้าใจ ได้ถ่ายทอดบทเรียนที่พอจะเกิดประโยชน์กับสังคมได้บ้าง ได้ทบทวนตัวเอง ถือได้ว่ามันมีความรู้สึกดีๆ ในช่วงเวลาที่เราเจ็บป่วย ไม่ทุกข์ไปกับมันมาก”ปราณี กล่าว
แต่กับความสุขแบบที่ใครๆ ก็แสวงหา เธอตอบทำนองว่ายังไม่ถึงจุดนั้น เพราะต้องรักษาตัวเองอยู่ หากแต่กิจกรรมทั้งหมดได้สร้างความคิด สร้างปัญญาและกำลังใจให้สู้กับชีวิตต่อ เสมือนใช้ปัญญาเป็นบันไดไปสู่การสร้างความสุข ไม่ต่างกับคนอื่นๆ
…ความสุขที่แท้แสวงหาได้จากภายในใจ และทุกคนสามารถทำได้หากเปิดใจรับและทำความเข้าใจกับมัน…
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
update : 04-01-54
อัพเดทเนื้อหาโดย : ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน