สื่อพื้นบ้านอีกทางเลือกในการสร้างสายใยสมานฉันท์
มุ่งรื้อฟื้นให้กลับมามีบทบาทในสังคมไทย
“มหกรรมสื่อพื้นบ้านเพื่อสุขภาวะเยาวชนภาคกลาง” คือชื่องานที่ฟังดูแปลกหู แต่สร้างสีสันและเรียกร้องความน่าสนใจให้ผู้คนที่เดินทางไปเที่ยวตลาดน้ำคลองลัดมะยม แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน เป็นอย่างมากเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึง ”เล่าสู่กันฟัง” ที่มีโอกาสไปร่วมสังเกตการณ์
งานมหกรรมสื่อพื้นบ้านนี้เป็นกิจกรรมที่มุ่งรื้อฟื้นสื่อพื้นบ้านให้กลับมามีบทบาทในสังคมไทย ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ศึกษาวิจัยเรื่องราวเกี่ยวกับสื่อพื้นบ้านมาอย่างต่อเนื่อง และพบว่าสื่อพื้นบ้านเป็นสื่ออีกประเภทหนึ่งที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาช้านาน มีศักยภาพสูงมากในการถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของชุมชนจากรุ่นสู่รุ่น ระหว่างการถ่ายทอดเป็นโอกาสที่ทำให้เยาวชนได้เรียนรู้เรื่องราวของตนเอง หรือที่เรียกกันว่าเรียนรู้รากเหง้า ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ และนำไปสู่การรักท้องถิ่นในที่สุด
นอกจากนี้ สื่อพื้นบ้านยังเปรียบเสมือนเครื่องมือสำคัญในการโยงใยความสัมพันธ์ในชุมชน และความสัมพันธ์เป็นเครือข่ายระหว่างชุมชนกับชุมชนด้วยกัน เป็นช่องทางการสื่อสารที่ผู้คนในสังคมสามารถใช้แลกเปลี่ยนความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นระหว่างกัน ช่วยสร้างความรู้จัก เข้าใจกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างของเรื่องราวที่แต่ละชุมชนมานำเสนอล้วนน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ”ชุมชนร่วมใจสืบสาน สร้างสรรค์สื่อพื้นบ้านสานสุข” ของชาวต.บางแก้ว อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ที่นำเอาละครชาตรี และการเล่นเพลงเกี่ยวข้าว ซึ่งเคยอยู่ในวิถีชีวิตของชาวเพชรบุรีในอดีต มาเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มเยาวชน ทำให้มีความรักใคร่กลมเกลียว ภาคภูมิใจในความสามารถของตน และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์หนีห่างจากยาเสพติด
ผลงานของกลุ่มลูกหว้าที่เกิดจากการรวมตัวกันของเยาวชนในจ.เพชรบุรี ที่สนใจงานสกุลช่างเมืองเพชรที่ขึ้นชื่อลือชาทางด้านศิลปกรรมแบบไทยๆ มาช้านาน หันมาช่วยกันศึกษา ค้นคว้า เรียนรู้ วิชาการที่สืบทอดมาจากอดีตจาก ”ครูช่าง” ที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นงานปูนปั้น งานเขียนลายรดน้ำ ที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เพื่อช่วยกันสืบสานภูมิปัญญาของบรรพชนให้คงอยู่ต่อไป
“วิถีหัตถศิลป์ไทยดำ…” ของกลุ่มเยาวชน ต.รางหวาย อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เป็นการนำสื่อพื้นบ้านประเภทงานหัตถศิลป์-ภาษาถิ่น เพลงพื้นบ้าน เช่น เพลงพวงมาลัย เพลงเหย่อย ดนตรีพื้นบ้านของกลุ่มไทยทรงดำ ในขณะที่กลุ่มเยาวชนบ้านกองม่องทะ ต.ไล่โว้ สังขละบุรี ซึ่งเป็นเยาวชนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงโปว์ก็ใช้การร้องรำที่เรียกว่า “รำตง” มาเป็นสื่อให้บรรดาเยาวชนด้วยกันได้เรียนรู้ศิลปะพื้นบ้าน เกิดจิตสำนึกภาคภูมิใจในชาติพันธุ์ของตนและพร้อมจะอนุรักษ์ไว้ด้วยความเต็มใจ
นี่เป็นเพียงบางส่วนเสี้ยวของงานที่สะท้อนให้เห็นว่า แม้ในยามที่โลกกำลังถูกคุกคามและรุกรานโดยสื่อใหม่ๆ ที่เรียกกันว่านิวมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นโลกของอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ฯลฯ และอะไรต่อมิอะไรที่กำลังทยอยถาโถมเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และยากที่จะหลีกเลี่ยง แต่ในอีกซีกของสังคมไทย สื่อพื้นบ้านที่เคยรับใช้สังคมของเรามาช้านานยังคงทำหน้าที่ของเขาอย่างเงียบๆ และรายรอบสังคมเมือง เงียบแต่ทรงพลัง เพราะเป็นการสื่อสารด้วยจิตใจไม่ใช่ด้วยตาและหู ดังนั้น การช่วยกันสนับสนุนให้ชุมชน ซึ่งเป็นฐานของสังคมไทย หันกลับมาให้ความสนใจและใช้สื่อพื้นบ้านกันอย่างจริงจัง อาจเป็นทางเลือกหนึ่งของการสร้างความสุข เกิดความสมานฉันท์ในสังคมไทย ซึ่งกำลังเป็นโจทย์สำคัญสูงสุดของชาติในยามนี้
ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
update:29-09-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่