สิทธิผู้บริโภค สิทธิที่เราต้องดูแล
คนเราเกิดมาทุกคนไม่ว่าจะรวยหรือจน ก็จำเป็นต้องกิน ต้องใช้ ด้วยกันแทบทั้งสิ้น และที่ขาดไม่ได้เลยนั้นคือ การซื้อสิ่งของหรือบริการเพื่ออำนวยความสะดวกหรือสนองความต้องการในการใช้ชีวิต หากแต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คนไทยกลับถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการเจ้าของสิ่งที่เราต้องซื้อต้องใช้ทุกวัน จนเป็นเหตุให้ต้องมีการคุ้มครองผู้บริโภคเกิดขึ้น เพื่อรักษาสิทธิที่ประชาชนควรจะได้ โดยกำหนดให้ทุกวันที่ 15 มีนาคมของทุกปีเป็นวันสิทธิผู้บริโภคสากล
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกกับเราว่า ปัจจุบันคนไทยให้ความสำคัญกับเรื่องของการรักษาสิทธิผู้บริโภคมากขึ้น ตื่นตัวขึ้นกว่าเดิมมาก เช่น มีการตั้งคำถามกับสิ่งที่ไม่ตรงไปตรงมา หรือไม่ชอบมาพากลมากขึ้น อย่างล่าสุด ที่มูลนิธิรับเรื่องร้องเรียนไว้ คือ เรื่องการคืนเงินลดราคาจากบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อดัง ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนคนทั่วไปก็จะคิดว่า ไม่เป็นไร ไม่อยากเสียเวลาที่จะตามเรื่อง แต่ปัจจุบันกลับคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการต้องการจะรักษาสิทธิ์ของตนเองที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ซึ่งหากมองกันจริงๆแล้วเรื่องการละเมิดสิทธ์ของผู้บริโภคนั้น มีมาเป็นเวลานานแล้ว และก็มีอยู่เรื่อยๆ และเหตุที่ทำให้มันเป็นเช่นนั้น เพราะคนเรามองว่าเป็นเรื่องปกติ หากไปเรียกร้องสิทธิก็กลับมองว่าเป็นการเสียเวลา และนั่นจึงส่งผลให้ฝ่ายของผู้ประกอบการยังคงให้โอกาสนี้ในการละเมิดสิทธิด้วยวิธีการต่างๆ มากมายแทนที่จะรับผิดชอบต่อผู้บริโภค โดยเรื่อง “หนี้บัตรเครดิต” เป็นเรื่องที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่คนไทยลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตนเอง แต่ก็ยังมีจำนวนน้อยอยู่เมื่อเทียบกับปัญหาทั้งหมดที่มี” นางสารี เล่า
สำหรับผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตนั้น เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ให้คำแนะนำว่า สิ่งแรกที่ควรทำคือ ต้องมีสติ หยุดใช้เงิน หยุดให้หนี้ทั้งหมดแล้วมาร่วมกันวางแผนก่อนว่าจะทำอย่างไรต่อไป หากเป็นหนี้มากกว่า 3 แห่ง ไม่ควรเอาหนี้มาพันกัน โดยการเอาเงินจากอีกที่ไปใช้อีกที่ ซึ่งนั่นอาจทำให้คุณมีหนี้เพิ่มโดยไม่รู้ตัว การจะใช้บัตรเครดิตนั้น จำเป็นต้องสำรวจตนเองก่อนว่าพร้อมที่จะจัดการกับรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ อย่าคิดว่าสามรถผ่อนไปได้เรื่อยๆ เพราะคุณจะเสียดอกเบี้ยโดยไม่จำเป็นในจำนวนมาก ทางที่ดีใช้เงินสดที่ตนเองมีน่าจะดีที่สุด และหากมองให้ลึกจริงๆแล้ว การเป็นหนี้ดังกล่าวนั้น ก็มากจากการใช้เงินเกินตัวของผู้บริโภคเองนั่น
ทั้งนี้ นางสารียังกล่าวทิ้งท้ายไว้อีกว่า การรักษาสิทธิหรือการคุ้มครองตนเอง เป็นเรื่องของเราทุกคน อย่าคิดว่าเป็นเรื่องของหน่วยงาน เพราะถ้าเราไม่ตื่นตัว ไม่ใช้สิทธิ ไม่พูด ไม่ปกป้อง การคุ้มครองก็จะมีน้อยลง ในฐานะผู้บริโภค เราทำอะไรได้มาก ยกตัวอย่างเช่น หากเราซื้อของหมดอายุมา พอถึงบ้านเราก็ได้แต่บ่นว่า “ซวย” ซื้อของหมดอายุมา มันก็จบอยู่ที่แค่นั้น คนขายก็ยังขายของหมดอายุอยู่ และเราอาจจะเจอซ้ำอีก แต่ถ้าเราคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้น แล้วกลับไปบอกคนขายว่า ฉันซื้อของหมดอายุไป ฉันควรได้ค่าเสียหายและเสียเวลา ถึงแม้ของนั่นจะไม่แพง ถ้าผู้บริโภคส่วนใหญ่คิดแบบนี้ ก็จะไม่มีที่ไหนกล้าขายของหมดอายุให้เรา และที่สำคัญอยากให้ช่วยกันชี้ช่อง เบาะแส จัดการ บอกต่อหากเจอการละเมิดสิทธิ หากผู้บริโภคส่วนใหญ่ทำ เชื่อเถอะว่า…ปัญหาเรื่องผู้บริโภคจะลดน้อยลงจนหมดไปในที่สุด…
สำหรับผู้ที่ต้องการคำแนะนำหรือการช่วยเหลือ สามารถติดต่อกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้โดยผ่านเว็บไซต์ www.consumerthai.org หรือ www.facebook.com/consumerthai และสามารถเข้ามาโดยตรงได้ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เลขที่ 4/2 ซอยวัฒนโยธิน แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กทม. 10400 โทรศัพท์ 0-2248-3734-7 เรายินดีให้คำแนะนำ
ที่มา : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th