สหภาพแรงงาน 22 แห่ง เรียกร้อง ก.แรงงาน ผลักดันมาตรการโรงงานปลอดเหล้าทั่วประเทศ


มูลนิธิเพื่อนหญิง” จับมือสหภาพแรงงาน 22 แห่ง เรียกร้อง ก.แรงงาน ดันตัวชี้วัดโรงงานสีขาวให้ครอบคลุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในโรงงานทั่วประเทศ หวังเพิ่มผลผลิต-คุณภาพชีวิตคนงาน ลดความรุนแรงในครอบครัว เผยแรงงานขาเมาควัก ร้อยละ 22 ของเงินเดือนจ่ายค่าเหล้า ส่งผลกระทบค่าครองชีพ หนี้สินล้น


วันนี้ (3 มี.ค.) ที่กระทรวงแรงงาน เมื่อเวลา 13.30 น. นายเสริม พูนพนิช ตัวแทนผู้ประกอบการ เครือข่ายโรงงานสีขาว ลด ละ เลิกเหล้า พร้อมด้วยสถานประกอบการกว่า 22 แห่ง และมูลนิธิเพื่อนหญิง เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อนายสมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์  ปลัดกระทรวงแรงงาน เพื่อเรียกร้องให้กระทรวงแรงงานปรับตัวชี้วัดโรงงานสีขาวของกระทรวงแรงงานที่เน้นเฉพาะเรื่องยาเสพติดให้โทษตามกฎหมาย ให้ครอบคลุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน หลังพบสถิติการเสียชีวิต พิการ ในวัยแรงงานเพิ่มขึ้น โดยส่วนหนึ่งเกิดจากสาเหตุการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์


นายเสริม พูนพนิช ตัวแทนผู้ประกอบการ เครือข่ายโรงงานสีขาว ลด ละ เลิกเหล้า กล่าวว่า ทางบริษัททำงานเกี่ยวกับโรงพิมพ์ มีพนักงานประมาณ 270 คน ซึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถือเป็นปัญหาที่แก้ยากและเป็นปัญหาสังคมที่หลายบริษัท หลายโรงงานพบเจอโดยเฉพาะในวันที่เงินเดือนออก ถึงแม้ว่าจะห้ามไม่ให้กินเหล้าใน เวลางาน แต่กลับพบว่าหลังเลิกงานและวันหยุด จะมีการดื่มเหล้ากันอย่างหนักและขาดงานในวันต่อมา อีกทั้งยังมีปัญหาเงินไม่พอใช้ต้องเบิกเงินล่วงหน้าทำให้สิ้นเดือนต้องไปหยิบยืมเพื่อนบ้าน สร้างปัญหาหนี้สินตามมา อย่างไรก็ตาม เมื่อบริษัทได้เข้าร่วมโครงการโรงงานสีขาว ลด ละ เลิก เหล้า กับทางมูลนิธิเพื่อนหญิง จึงได้มีแนวคิดในการณรงค์ชักชวนไม่ให้พนักงานดื่มเหล้าส่งเสริมให้มีการเก็บออมมากขึ้น โดยทุกวันเสาร์ช่วงเช้าก่อนทำงานจะมีการสวดมนต์ร่วมกันหรือบางครั้งก็จะนิมนต์พระมาพูดถึงข้อเสียของสารเสพติดและสิ่งมึนเมาให้กับพนักงานได้ฟังเพื่อปลูกฝังไม่ให้พนักงานมั่วสุมกับสิ่งเหล่านี้ ถึงแม้การรณรงค์จะยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรแต่ก็มีแนวโน้มดีขึ้น ทางบริษัทก็ไม่ท้อยังจะทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะปัญหานี้เป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่และแก้ยากคงต้องใช้เวลาในการปรับทัศนคติและพฤติกรรม


“เชื่อว่าหากกระทรวงแรงงานปรับตัวชี้วัดโรงงานสีขาวของกระทรวงแรงงานที่เน้นเฉพาะเรื่องสารเสพติดให้โทษตามกฎหมาย โดยให้มีตัวชี้วัดเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปอยู่ในตัวชี้วัดโรงงานสีขาวด้วย จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานได้ นอกจากนี้ยังช่วยการรณรงค์ในโรงงานสามารถทำได้ง่ายขึ้น เพราะลำพังกฎระเบียบที่ทางโรงงานกำหนดไว้ฝ่ายเดียวคงไม่พอ” นายเสริม กล่าว


ด้านนายวิชัย พูนเกิด ประธานสหภาพแรงงานน้ำใจสัมพันธ์ บริษัทยางโอตานิ จำกัด กล่าวว่า จากการเก็บข้อมูลของมูลนิธิเพื่อนหญิงพบว่า คนงานที่ดื่มต้องสูญเสียรายได้ไปกับการดื่มเหล้ามากกว่า 1000 บาท ต่อเดือน หรือร้อยละ 22.4 จนทำให้กระทบต่อค่าครองชีพ เช่น ค่าอาหาร ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพาหนะ ซึ่งบริษัทของตน คนงานส่วนใหญ่เป็นผู้ชายการดื่มเหล้าจึงเป็นปัญหาอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อบริษัททำให้ให้ผลผลิตเสียหาย อีกทั้งหัวหน้างานต้องถูกตำหนิเนื่องจากคนงานขาดงานเพราะเมามากไม่สามารถมาทำงานได้ นอกจากนี้ตัวคนงานเองก็มีปัญหาในเรื่องของเงินไม่พอใช้ เป็นหนี้สิน สุขภาพย่ำแย่ ต้องลางานบ่อยครั้ง บางคนมีเรื่องชกต่อยจนถูกไล่ออกจากงาน ทั้งนี้หลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการกับทางมูลนิธิเพื่อนหญิงชวนคนงานเลิกเหล้า ถึงแม้การรณรงค์จะทำให้คนงานเลิกดื่มเหล้าอย่างเด็ดขาดไม่ได้แต่ก็ทำให้ดื่มน้อยลง การทะเลาะวิวาทลดลง และมีเงินเก็บมากขึ้น ภายในโรงงานไม่มีการตั้งวงกินเหล้าหลังเลิกงาน


นายวิชัย กล่าวว่า เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทางเครือข่ายฯขอเรียกร้องให้กระทรวงแรงงาน เร่งปรับตัวชี้วัดโรงงานสีขาวของกระทรวงแรงงานที่เน้นเฉพาะเรื่องสารเสพติดให้โทษตามกฎหมาย โดยให้มีตัวชี้วัดเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปอยู่ในตัวชี้วัดโรงงานสีขาวของกระทรวงแรงงานด้วย


“หากโรงงานทุกแห่งทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการโรงงานสีขาวของกระทรวงแรงงานซึ่งได้มีการปรับตัวชี้วัดให้ครอบคลุมเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้เกิดการสร้างความปลอดภัยในโรงงาน และช่วยให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ลดการทะเลาะวิวาท หรือการขาดงาน ที่สำคัญทำให้การทำงานก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวของคนงานก็ลดลง” นายวิชัย กล่าว


 


 


ที่มา : สำนักข่าว สสส.

Shares:
QR Code :
QR Code