สสส.-เครือข่ายร่วมจัดการภัยพิบัติเน้นชุมชนเป็นแกนหลักรับมือภัยธรรมชาติ

 

สสส.สานพลังเครือข่ายจัดการภัยพิบัติ ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักพึ่งตนเองรับมือภัยธรรมชาติ พร้อมเสนอตั้งกองทุนจัดการภัยพิบัติในระดับตำบล เพื่อให้เกิดการจัดการในพื้นที่ได้อย่างคล่องตัว

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่โรงแรมทวินโลตัส อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์  ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวในการประชุมเชิงปฏิบัติการ “สานพลังเครือข่ายจัดการภัยพิบัติโดยชุมชนท้องถิ่น” ว่า เมื่อประมาณ 6 เดือนที่ผ่านมา ได้มีโอกาสประชุมหารือร่วมกับ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เลขานุการคณะทำงานจัดการน้ำในพื้นที่วิกฤตของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) โดย ดร.อานนท์ได้กล่าวไว้ว่า ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปในอีก 30 ปีข้างหน้า โดยจะเปลี่ยนจากวงจรน้ำน้อยเป็นวงจรน้ำมากขึ้น ขณะที่มีผู้คาดการณ์ว่าสถานการณ์น้ำท่วมในปีหน้าจะหนักกว่าปัจจุบัน ขณะเดียวกันทั่วโลกก็จะเจอวิกฤติจากภัยธรรมชาติจำนวนมาก เช่น พายุ แผ่นดินไหว โดยมีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่าสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงจากสภาพภูมิอากาศ เพราะการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 

ผู้จัดการ สสส.กล่าวต่อไปว่า ดังนั้น วงจรการจัดการภัยพิบัติจึงประกอบด้วย 4 แนวหลักใหญ่ๆ คือ 1.แผนการป้องกัน 2.การเตรียมการ 3.การรับมือ และ 4.การฟื้นฟู โดยขณะนี้เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์การรับมือ และจะเห็นได้จากศูนย์อพยพหรือศูนย์พักพิงหลายแห่งที่มีผู้เข้าไปอาศัยอยู่จำนวนมาก ต้องมีการเคลื่อนย้ายศูนย์อยู่บ่อยครั้ง เพราะเกิดภาวะน้ำท่วมซ้ำ ซึ่งเกิดจากการที่เราไม่มีแผนการเตรียมการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการจัดการปัญหาในชุมชนและท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง ที่เป็นไปตามแนวคิดสากลของทั่วโลกในการจัดการปัญหาภัยพิบัติที่ต้องจัดการในระดับพื้นที่ โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จะเข้าไปสนับสนุนกระบวนการการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น

“ที่ผ่านมาจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดเหตุซ้ำแล้วซ้ำอีก หลายศูนย์พักพิงจะเกิดน้ำท่วมซ้ำ ประชาชนก็ต้องย้ายไปเรื่อยๆ บางครั้งประชาชนก็ไม่ยอมไป เพราะไกลบ้าน เป็นห่วงบ้าน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากแต่ละพื้นที่ไม่มีการวางแผนเตรียมการรับมืออย่างเป็นระบบ ดังนั้น ชุมชนหรือท้องถิ่นต้องเป็นผู้ลงมือทำเอง เป็นตัวตั้ง แล้วชวนชาวบ้านมาร่วมพูดคุย โดยเฉพาะหลังน้ำท่วมที่เป็นช่วงการฟื้นฟู หลังจากนั้นภาคส่วนต่างๆ จากภายนอก ทั้งภาคเอกชน อาสาสมัครต่างๆ ก็จะช่วยเป็นตัวหนุนเสริม ส่วน สสส.เองเราก็จะสนับสนุนจัดทำแผนระดับชาติและโครงการต่างๆ แต่สิ่งสำคัญชุมชนและท้องถิ่นต้องเป็นหัวใจของการดำเนินงาน”ทพ.กฤษดากล่าว

ด้าน นายสมพร ใช้บางยาง  ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 3 (แผนสุขภาวะชุมชน) สสส. กล่าวว่า ปัจจุบันการรวมศูนย์อำนาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้อีกต่อไป เพราะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง สิ่งสำคัญคือการคืนอำนาจสู่ประชาชนให้เป็นฐานหลัก และไม่อยากให้ชุมชนมองว่าภาครัฐหวงอำนาจแต่ขอให้คิดว่าจะทำอย่างไรให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง โดยต้องเริ่มจากปัจเจกบุคคล คือการปรับวิธีคิดต่างๆ ให้ยึดการรักษาบ้านเมืองและความมั่นคง หากยึดหลักนี้ได้เชื่อว่าการแก้ปัญหาต่าง ๆ จะมีความชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้เรื่องฐานข้อมูลต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีการเตรียมวางแผน จัดทำแผนอย่างเป็นระบบในการให้ข้อมูลความรู้ และตัวชุมชนเองควรมีการจัดตั้งกองทุนจัดการภัยพิบัติในระดับตำบลขึ้น เพราะเรื่องของภัยพิบัติเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นการมีกองทุนจัดการภัยพิบัติในระดับตำบลรอไว้ก่อน เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ชุมชนเองก็สามารถจัดการปัญหาได้ก่อนอย่างคล่องตัว

เรื่องโดย : สุนันทา สุขสุมิตร team content www.thaihealth.or.th

 
Shares:
QR Code :
QR Code