สสส.หนุนวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ-อนามัย

เพื่อเยาวชนประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน

 

 สสส.หนุนวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ-อนามัย

          ตราบเท่าที่โลกมันสดใส และร่างกายของมนุษย์เต็มไปด้วยความสุขสันต์ สุขภาพอนามัยของคนเรานั้น ย่อมไม่มีทางอื่นที่จะปรากฏออกมาสู่สังคม นอกเสียจากความสมบูรณ์พูนสุข ของมวลมนุษย์ชาติ ปัญหาแห่งความสุขของมวลมนุษย์ชาติ จึงอยู่ตรงที่ว่า “ทำอย่างไรให้สุขภาพของคนเรานั้นไม่เกิดปัญหา” เพราะการทำให้สุขภาพไร้ปัญหา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะทำกันเล่นๆ เหมือนผู้แทนในสภาเขาทำกัน

 

          เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจะต้องเชื่อมโยงอยู่กับวิถีความเป็นอยู่ของคนเราทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านพฤติกรรม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านค่านิยม และไปสุดท้ายตรงด้านการศึกษา ทุกวันนี้คนในสังคมให้ความสำคัญกับการศึกษาเกือบจะเป็นอันดับหนึ่ง ผู้บริหารประเทศ โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีก็ให้การส่งเสริม ด้านการศึกษาอย่างเป็นทางการเช่นเดียวกัน ดังนั้นการนำเอา การศึกษา มาเป็นตัวแก้ไขในปัญหาสุขภาพของคนทุกคนจึงเป็น “ปัจจัยสำคัญ อย่างหนึ่ง”ที่มนุษย์จะละเลยมิได้

 

          สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ซึ่งเป็นกลไกที่ทำหน้าที่ในการ จุดประกาย, กระตุ้น และสนับสนุนให้สังคมมีความสุขในชีวิต โดยจะเป็นทั้งผู้ให้คำปรึกษา ให้ทุนเพื่อการทำงาน ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. จัดทำโครงการ ความร่วมมือนำร่องโครงงานวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ดีกว่า เพื่อสร้างให้เป็นต้นแบบในด้านการพัฒนาทักษะและการคิดแบบวิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพอนามัย โดยเฉพาะของเด็กและเยาวชนให้มีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์มากขึ้น

 

          ทั้งนี้โดยการทำผ่านกระบวนการเรียนรู้เนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพอนามัยด้าน อาหาร สุขภาพอนามัยทางด้านการแพทย์ และด้านสุขอนามัยสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อให้เด็กและเยาวชนเกิดทักษะ และกระบวนการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับสุขภาพอนามัยของชีวิต พูดกันง่ายๆ ตามประสาชาวบ้านก็คือ จะมีการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษา แก้ไขและส่งเสริมสุขภาพอนามัยของคนทุกคนให้มีความสมบูรณ์นั่นเอง

 

          ซึ่งใครๆ ก็ทราบกันดีว่า วิชาวิทยาศาสตร์นั้น เป็นวิชาที่ว่าด้วยความจริง สามารถพิสูจน์ออกมาให้เห็นกันได้อย่างจะจะ ไม่ต้องมาตีความ มาจินตนาการ หรือมาสาบดสาบานให้คนเชื่อว่าเป็นความจริง ดังนั้น การใช้วิชาวิทยาศาสตร์ให้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริม และสร้างเสริมสุขภาพอนามัย จึงเท่ากับว่า เป็นการแก้ข้อสงสัยให้กับบรรดาเด็กและเยาวชนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนได้คลายความสงสัยว่า ทำไมกินน้ำบริสุทธิ์แล้วร่างกายจะสดชื่น ดีกว่ากินน้ำผสมแอลกอฮอล์ อะไรแบบนี้ เป็นต้น

 

          ไม่เพียงแค่จะทำให้หายสงสัย และเกิดทักษะในการเรียนรู้แล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้เด็กรักการเรียนวิทยาศาสตร์ แล้วต่อยอดออกไปถึงวิชาการอื่นๆ ที่สามารถบูรณาการเข้ากับวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อร่วมกับสร้างเสริมสุขภาพอนามัยที่ดีได้อีกด้วย

 

          โครงการดังกล่าวนี้ได้มีการลงมือทำไปแล้ว โดยในระยะต้นนี้ กำหนดผลสัมฤทธิ์ที่จะให้เกิดขึ้นใน 3 แนวทาง ดังต่อไปนี้

 

          แนวทางที่หนึ่ง เป็นการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และทักษะของครูในถิ่นทุรกันดารที่ขาดโอกาสจะได้รับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ให้สามารถเป็นพี่เลี้ยงเยาวชนในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์

 

          แนวทางที่สอง พัฒนา สร้างเสริมทักษะ และวิธีคิดเชิงเหตุผล เชิงวิทยาศาสตร์ให้กับเยาวชน ผ่านกระบวนการโครงงานวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับการสร้างเสริมสุขภาพ

 

          แนวทางที่สาม สนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ กันอย่างกว้างขวาง ระหว่าง ครู เยาวชนผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ด้วยการผ่านกระบวนการจัดกิจกรรม สัปดาห์โครงงานวิทยาศาสตร์ระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ ทั้งนี้จะดำเนินการไปตามผลความก้าวหน้าของครูแกนนำ และนักเรียนหลังจากที่ได้รับการฝึกอบรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

          จากผลที่คาดว่าจะได้รับดังกล่าวทั้งสามแนวทาง ภาพที่ปรากฏอยู่ในภาคสังคม คือ พวกเขาเหล่านั้น จะเป็นตัวนำร่อง เป็นแกนนำให้แก่โรงเรียนอื่นๆ ให้ได้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริง แล้วปัญหาดังกล่าวนี้ก็จะสามารถลื่นไหลเข้าไปสู่วงการนักวิชาการ เพื่อหาทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง และตรงประเด็นต่อไป

 

          สุดท้ายเป้าหมายที่รออยู่ข้างหน้าก็คือ สังคมจะได้รับมาตรฐานอันเป็นรากฐานที่สำคัญในการนำไปสู่กระบวนการทำงานทางวิทยาศาสตร์ และการสร้างเสริมสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต เมื่อร่างกายสุขภาพอนามัยสุขสันต์ โลกก็สดใส เช่นเดียวกันนั่นแหละ

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

 

 

Update 20-05-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

 

Shares:
QR Code :
QR Code