สสส.-ภาคีฯ รณรงค์วันแม่ “My Mom” เสริมพลังรักครอบครัว ลดปัจจัยเสี่ยง สร้างภูมิคุ้มกันลูกหลานห่างไกลแอลกอฮอล์
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
ภาพประกอบจาก สสส.
สสส. สานพลังเครือข่าย หนุนพลังแม่สร้างครอบครัวปลอดปัจจัยเสี่ยง พบน้ำเมาสร้างความเสียหายทุกมิติกว่า 1.6 แสนล้านบาท สูงถึง 1.02% ของGDP เปิดใจผู้ก้าวพลาด ยอมรับเหตุจากขาดความรัก-การยอมรับ ก่อนแสวงหาจากภายนอก สุดท้ายทำผิดต้องติดคุก-กลับตัวใหม่ แนะคนรุ่นใหม่สร้างครอบครัวอบอุ่นเป็นวัคซีนเข็มแรกปั้นลูกน้อยมีอนาคตที่ดี ห่างไกลเหล้ายา
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 ส.ค. 2568 เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน มูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ “My Mom” รักไม่ธรรมดา ที่โรงแรมแมนดาริน กรุงเทพฯ
โดย นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ 12 ส.ค. ของทุกปี สสส. และเครือข่าย จึงจัดกิจกรรม “My Mom” รักไม่ธรรมดา” เพื่อรณรงค์ ให้ความรู้ กระตุ้นเตือนอันตรายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขับเคลื่อนมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มี โดยสะท้อนถึงพลังบวกของแม่ ความรัก และความเสียสละที่ยิ่งใหญ่เพื่อครอบครัว จากข้อมูลค่าการสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยปี 2564 เท่ากับ 165,450.5 ล้านบาท หรือ 1.02% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) แบ่งเป็น การสูญเสียทางอ้อมจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และการขาดงานหรือสูญเสียผลิตภาพจากการทำงาน 96.3% และการสูญเสียทางตรงจากค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรม และมูลค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินจากอุบัติเหตุจราจรทางบก 6,091.7 ล้านบาท
“ที่น่าตกใจคือ คนไทยเกือบ 80% เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มของผู้อื่น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และปัญหาครอบครัว โดยต้นทุนทางสังคมเฉลี่ยจากนักดื่มไทยหนึ่งคนสูงถึง 498,196 บาท โดยเฉพาะนักดื่มชายมีต้นทุนสูงถึง 721,344 บาทต่อคน แอลกอฮอล์ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคไม่ติดต่อ (NCDs) และเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 ที่เชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 8 ชนิด อาทิ มะเร็งช่องปาก กล่องเสียง หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก เต้านม ตับ และตับอ่อน ตัวเลขทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ สสส. ต้องเร่งสร้างเสริมสุขภาวะในสังคมให้ห่างไกลกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งเสพติด และการพนัน พร้อมขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการลด ละ เลิกการดื่ม เพื่อปกป้องสุขภาพ เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน” นายวิเชษฐ์ กล่าว
นายอภิรัฐ สุดสาย อดีตเยาวชนศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ในช่วงเด็กตนอยู่ จ.นครศรีธรรมราช กับพ่อแม่ ซึ่งทะเลาะกันบ่อย ต้องอยู่กับความรุนแรงในครอบครัวมาตลอด ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวแย่ลง ไม่มีปฏิสัมพันธ์ ไม่มีการพูดคุย ถ้าทำผิดก็ถูกทำโทษ ทั้งที่เราอยากได้ความรักอยากให้แม่กอด ความเงียบ ความห่างเหินในครอบครัว ทำให้รู้สึกไม่มีตัวตน พอขึ้น ม.2 จึงรวมกลุ่มเพื่อนสร้างตัวตนในทางที่ผิด ยกพวกตีกัน จนถูกไล่ออกจากโรงเรียน แม่แก้ปัญหาด้วยการส่งตนมาอยู่กรุงเทพฯ ปัญหายิ่งหนักขึ้นเพราะอยากเป็นไอดอลของเพื่อน ออกปล้นหาเงินมากินเที่ยวกับเพื่อน จนถูกจับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในคุกเด็ก 80% มาจากปัญหาครอบครัว กดดัน หรือสปอยลูกเกินไป หรือเมินเฉยลูกเกินไป ตนได้ไปอยู่ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก จึงได้ปรับความคิด รู้คุณค่าตัวเองและคนอื่น รวมถึงคุณค่าความรักที่ไม่ได้แปลจากคำพูด แต่มาจากการกระทำ ทั้งนี้ พ่อ แม่เป็นปราการแรกของลูก จึงควรดูแลลูกด้วยความรักความใส่ใจ ป้องกัน เฝ้าระวังการกระทำผิด
ด้านนางเฉลิมขวัญ เย็นเสมอ คุณแม่ของอดีตเยาวชนศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ตนอยู่กับสามีและลูก สามีดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ส่วนตนเป็นคนจู้จี้ จุกจิก ทำให้มีการทะเลาะกันบ่อย ทำให้ลูกเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น พฤติกรรมเปลี่ยนไปจากคนที่สนิทกับแม่ มีความรับผิดชอบ ทำงานเลี้ยงตัวเอง ก็กลายเป็นคนเงียบไม่พูด มีปัญหาก็ไม่ปรึกษา ซึ่งตนไม่ได้แก้ไข แต่โยนความผิดไปให้พ่อเขาว่าไม่สนใจลูก พอลูกเรียนชั้นปวช. ก่อเหตุยิงเพื่อนเสียชีวิต เข้าสถานพินิจและย้ายไปอยู่บ้านกาญฯ เข้าสู่กระบวนการปรับพฤติกรรมความคิด รวมถึงตนและสามีทำให้รู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากพ่อแม่ ที่กินเหล้า ทะเลาะกัน จู้จี้หวังให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ ดังนั้นตนกับสามีจึงปรับพฤติกรรม เลิกเหล้า ไม่จู้จี้ ไม่บ่น สุดท้ายลูกกลับมาหาและเริ่มคุยกัน เล่นกับน้อง นั่งกินข้าวด้วยกัน ทำให้ได้ลูกคนเล็กกลับคืนมา อยากให้ครอบครัวของตนเป็นอุทาหรณ์ การเลี้ยงลูกต้องรับฟังความต้องการลูก อย่าบังคับให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการเพียงอย่างเดียว
ขณะที่ น.ส.ถุงเงิน พันตน เหยื่ออุบัติเหตุ กล่าวว่า ลูกชายของตนเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่เมื่อลูกอายุ 25 ปี ได้เกิดอุบัติเหตุรถกระบะขับมาชนระหว่างขี่จักรยานยนต์ไปซื้อของ อาการหนักต้องเข้าไอซียูกว่า 20 วัน และนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานกว่า 2 เดือน ซึ่งคู่กรณีไม่รับผิดชอบอะไรเพราะอ้างว่าลูกเราเป็นคนผิด ขณะนี้ผ่านมากว่า 7 ปีแล้ว ลูกชายต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องให้อาหารผ่านสาย สื่อสารได้บ้าง แต่ไม่สามารถพูดหรือขยับร่างกายได้ ตนต้องสู้ทุกอย่างเพื่อดูแลลูกขอเพียงเขายังมีลมหายใจอยู่ก็ดีแล้ว ทั้งนี้ ตนอยากบอกกับสังคมให้มีสติ ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ขับรถต้องสวมหมวกนิรภัย คาดเข็มขัดนิรภัย ดื่มไม่ขับ เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุเมื่อไหร่ หากเซฟตัวเองไว้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุก็จะลดการเสียชีวิต ลดการเจ็บหนักได้