สสส.–พม. เดินหน้าโมเดล ‘ชุมชนนำ’ 200 ตำบล ช่วยเด็กเปราะบางเข้าถึงสิทธิ-ลดความรุนแรง ยกระดับการดูแลโดยท้องถิ่นทั่วไทย
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
ภาพประกอบจาก สสส.

สสส. ปลื้ม โมเดล “ชุมชนนำ” ในพื้นที่ 200 ตำบล 24 จังหวัดทั่วไทย ช่วยเด็กกลุ่มเปราะบางเข้าถึงสิทธิ-ได้รับความช่วยเหลือจากความรุนแรง เดินหน้าหนุน พม. เตรียมปลดล็อคกฎหมายให้อำนาจท้องถิ่นดูแลพัฒนาเด็กแบบมุ่งเป้า ยกระดับคุณภาพชีวิตเด็ก-ครอบครัวทั่วไทย

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2568 น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. กล่าวว่า สสส. ขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเปราะบางในครอบครัว ที่ต้องเผชิญกับความรุนแรง และรายได้ในครัวเรือน โดยใช้แนวคิด “ชุมชนนำ” มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่แล้วในระดับพื้นที่ ใช้การบูรณาการจากกองทุนระดับตำบล เช่น กองทุนสุขภาพประจำตำบล กองทุนสวัสดิการชุมชน เพื่อพัฒนาให้ระบบการดูแลเด็กมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดำเนินการนำร่องกว่า 200 ตำบล จาก 24 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีกระบวนการดำเนินงาน 1.เปิดรับอาสาสมัครในชุมชน พร้อมพัฒนาทักษะการดูแลเด็กให้มีสุขภาวะดี 2.จัดตั้งทีมครอบครัวยิ้ม ที่มีบทบาทหลากหลายในชุมชน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ รพ.สต. แกนนำ อสม. นักพัฒนาชุมชน ชาวบ้าน ครูศูนย์เด็กเล็ก และผู้อำนวยการโรงเรียน 3.ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อประเมินสภาพความเป็นอยู่ของเด็กทุกคนในชุมชน 4.จัดทำฐานข้อมูลเพื่อระบุถึงสถานการณ์เด็ก 1.กลุ่มสีเขียว สถานะปกติ 2.กลุ่มสีเหลือง สถานะน่าห่วง 3.กลุ่มสีแดง สถานะต้องช่วยเหลือเร่งด่วน เพื่อให้ชุมชนรับรู้สถานการณ์และค้นหาแนวทางส่งเสริมป้องกัน ช่วยเหลือ และฟื้นฟู

“ผลการดำเนินงาน พบว่า ทีมชุมชนสามารถป้องกันเด็กกลุ่มสีเหลืองไม่ให้กลายเป็นสีแดง พร้อมให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ควบคู่ไปด้วย ส่วนเด็กกลุ่มสีแดงสามารถเข้าถึงสิทธิและได้รับความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ทั้งนี้ สสส. และเครือข่ายทีมชุมชน ขอสนับสนุนให้กระทรวงมหาดไทย ส่งเสริมการทำงานแบบเครือข่ายความร่วมมือ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน พัฒนาศักยภาพของระบบสหวิชาชีพระดับจังหวัดอย่างสม่ำเสมอ ให้สามารถรองรับและดูแลเด็กกลุ่มสีแดงที่ถูกส่งต่อมาจากในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ชุมชนสามารถดูแลเด็กได้อย่างทั่วถึง สร้างความร่วมมือที่เข้มแข็ง นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเด็กและครอบครัว” น.ส.ณัฐยา กล่าว

นางเธียรทอง ประสานพานิช ผู้อำนวยการกองคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาของเด็กแต่ละกรณีมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกับจำนวนบุคลากรเจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กที่ลดลง กรมกิจการเด็กฯ จึงต้องพัฒนาระบบงานที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการดูแลเด็ก 2 ด้าน 1.เพิ่มความเชี่ยวชาญของสหวิชาชีพ โดยจัดระบบกำกับดูแลและให้คำปรึกษาเชิงวิชาชีพ พร้อมพัฒนาบุคลากรส่วนกลางให้ทำงานเชิงพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ 2.การคุ้มครองเด็ก บูรณาการร่วมกับการส่งเสริมพัฒนาสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก ทั้งในด้านบุคคลและสังคม ซึ่งสอดคล้อง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฉบับใหม่ ที่จะให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) วางแผนและพัฒนาระบบงานเพื่อส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานและสภาพสังคมที่เอื้อต่อการเติบโตของเด็ก

นายธานินทร์ ริ้วธงชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กลุ่มเด็กที่พ่อแม่ติดยาเสพติดหรือติดสุรา ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสีแดง และมีความเปราะบางสูง ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกที่ต้องเร่งดำเนินการคุ้มครอง เพราะเด็กเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อปัญหาพัฒนาการและการสร้างความสัมพันธ์อย่างรุนแรง ดังนั้น การขับเคลื่อนงานจึงต้องมีข้อมูลของกลุ่มเสี่ยงที่ชัดเจน เพื่อให้การกำหนดแผนงานและมาตรการช่วยเหลือ สามารถส่งลงไปถึงระดับชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ท้องถิ่นมีบทบาทหลักในการขับเคลื่อน โดยใช้งบประมาณสนับสนุนกลุ่มคนทำงานที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายในพื้นที่ให้เข้ามาเป็นกลไกหลักในการดำเนินงานดูแลเด็กและงานสวัสดิการในชุมชน ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญคือต้องลดภาระเรื่องรายงานที่มากเกินไปสำหรับท้องถิ่น เพื่อให้บุคลากรในพื้นที่สามารถทุ่มเทเวลาและทรัพยากรในการช่วยเหลือเด็กได้อย่างเต็มที่ และตรงเป้าหมายตามแนวคิด “ชุมชนนำ” อย่างแท้จริง


