สสส. ปลุกกระแส “รักวัวให้ผูก รักลูกให้สวมหมวกกันน็อค”

หลังชี้เด็กไทย ตายด้วยอุบัติเหตุ 900 คนต่อปี

 

            สตช. ผนึก สสส. มูลนิธิเมาไม่ขับ เอกชน รณรงค์ลดอุบัติเหตุ ปลุกกระแส รักวัวให้ผูก รักลูกให้สวมหมวกกันน็อคแจกหมวกกันน็อคเด็ก พบทั่วโลกตายจากอุบัติเหตุนาทีละ 25 คน ประกาศปี 54รณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100%เตรียมใช้กฎหมายเข้ม หวังลดอุบัติเหตุลงครึ่งหนึ่งใน 10 ปี  เผยผลสำรวจนักซิ่งสวมหมวกกันน็อค 62% คนซ้อนสวมหมวกกันน็อคแค่ 39% ชี้เด็กไทย ตายด้วยอุบัติเหตุ 900 คนต่อปี พบเจ็บที่หัว คอ ทำสาหัส พิการ ตาย

สสส. ปลุกกระแส “รักวัวให้ผูก รักลูกให้สวมหมวกกันน็อค”

          เมื่อวันที่ 29 ก.ย. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) มูลนิธิเมาไม่ขับ ศูนย์ขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า แถลงข่าวนโยบายด้านการจราจรและความปลอดภัยทางถนน พร้อมเปิดโครงการรณรงค์ปลุกกระแสสังคมไทยใส่ใจสวมหมวกกันน็อค รักวัวให้ผูก รักลูกให้สวมหมวกกันน็อค และทำพิธีมอบหมวกกันน็อกให้กับผู้แทนเยาวชนและประชาชน  โดยพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากสถิติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรบนท้องถนน พบว่า ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนถึง 1.3 ล้านคน  หรือทุกนาทีจะมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 25 คน  และทำให้มีผู้พิการถึงปีละ 50 ล้านคน สำหรับประเทศไทย สถานการณ์อุบัติเหตุยังน่าเป็นห่วง โดยในปี 2552 มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 10,171 คน ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่  โดยอัตราของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ  60-70% เป็นกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ และไม่สวมหมวกนิรภัย

            กลุ่มเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นกลุ่มที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด พบว่าผู้ขับขี่จักรยานยนต์ในประเทศไทย เริ่มขี่ตั้งแต่อายุ 9-14 ปี สอดคล้องกับอัตราการจับกุมการกระทำผิดกฎจราจร ที่มีการจับกุมผู้ไม่มีใบอนุญาตขับขี่จำนวนมาก เพื่อร่วมรณรงค์ลดอุบัติเหตุ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมกับ สสส. มูลนิธิเมาไม่ขับ และภาคเอกชน จัดโครงการ รักวัวให้ผูก รักลูกให้สวมหมวกกันน็อค เป็นโครงการดีที่รณรงค์ให้กลุ่มพ่อแม่ ผู้ปกครองที่ขับขี่รถจักรยานยนต์และให้บุตรหลานซ้อนท้าย ได้เห็นถึงอันตรายของการไม่สวมหมวกนิรภัย และหันมาให้ความสำคัญการสวมหมวกนิรภัยทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายจักรยานยนต์ สอดคล้องกับปี 2554 -2563 ที่ประเทศไทยจะประกาศให้เป็นปีทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัดพล.ต.อ.วิเชียร กล่าว

            ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากการสำรวจขององค์การอนามัยโลก เมื่อปี 2550 เรื่องการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน พบว่า ประเทศไทยติดอันดับประเทศที่มีการเสียชีวิตสูงสุดลำดับที่ 106 จากการสำรวจ 178 ประเทศทั่วโลก มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 19.6 คนต่อแสนประชากร และสอบตกในมาตรการการใช้หมวกนิรภัย ไทยได้เพียง 4 คะแนนจาก 10 คะแนน ในปี 2552 ไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 10,717 คน หรือเฉลี่ยวันละ 30 คน โดย  1 ใน 3 เป็นกำลังหลักของครอบครัว และ 2 ใน 3 ของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เป็นเยาวชนอายุน้อยกว่า 15 ปี สาเหตุหลักมาจากการขับขี่จักรยานยนต์และไม่สวมหมวกนิรภัย จากข้อมูลศูนย์วิจัยเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทย์ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี พบว่า มีผู้เสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์สูงถึง 8,000 คนต่อปี อายุเฉลี่ยที่ 15-25 ปี อายุต่ำกว่า 15 ปี มีจำนวน 900 คนต่อปี

            ดร.สุปรีดา กล่าวว่า สสส. ร่วมกับ มูลนิธิไทยโรดส์ สำรวจพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัยของผู้ขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ทั่วประเทศ ระหว่างเดือน มี.ค.-ก.ค. 2553 กลุ่มตัวอย่าง 76,124 คน พบว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ สวมหมวกนิรภัย 62% ผู้ซ้อนท้าย สวมหมวกนิรภัย 39% ที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ 56% ไม่ทราบว่าการนั่งซ้อนท้ายและไม่สวมหมวกนิรภัย มีโทษปรับทั้งคนขี่และคนซ้อน สำหรับ การรณรงค์รักวัวให้ผูก รักลูกให้สวมหมวกกันน็อคถือเป็นกิจกรรมดีที่จะเตือนให้ผู้ปกครองรู้ถึงอันตรายการไม่สวมหมวกนิรภัย โดยในปีพ.ศ.2554-2563 องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้เป็น ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนนโดยจะมีเป้าหมายลดการตายจากอุบัติเหตุให้ได้ 50% ในอีก 10 ปีข้างหน้า

            นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ในฐานะประธานชมรมคนห่วงหัว กล่าวว่า  มีการศึกษาวิจัยพบว่า การสวมหมวกนิรภัย ช่วยป้องกันการเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ได้เป็นอย่างดี ลักษณะการบาดเจ็บของผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์โดยส่วนใหญ่ จะได้รับบาดเจ็บที่แขน ขามากที่สุด รองลงมา คือ ศีรษะและคอ ซึ่งในรายที่พิการและเสียชีวิต จะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะและคอมากที่สุด ปัจจุบันหมวกนิรภัยสำหรับเด็กมีการผลิตและได้การรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(มอก.) วางจำหน่วยทั่วไป และราคาไม่แพงมาก ซึ่งการลงทุนเรื่องความปลอดภัยให้กับบุตรหลานเป็นความสำคัญลำดับแรกที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรต้องคำนึงถึง

            นายอารักษ์ พรประภา ผู้อำนวยการศูนย์ขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ยังมีความเข้าใจที่ผิดๆ ว่าการขับขี่ในระยะใกล้ๆ หรือขับขี่ช้าๆ ไม่จำเป็นต้องสวมหมวกนิรภัย ซึ่งจากการสำรวจพบว่าผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และผู้ซ้อนท้ายที่ไม่สวมหมวกนิรภัยมีโอกาสบาดเจ็บทางศีรษะสูงกว่าผู้ขับขี่ที่สวมหมวกนิรภัยถึง 50 เท่า

 

 

 

 

 

ที่มา : สำนักข่าว สสส.

 

 

Update:29-09-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่

Shares:
QR Code :
QR Code