สสส.ประชุมระดมสมองพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขต่างด้าวอย่างยั่งยืน

สน.2 โดย โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล สสส. จัดประชุมสัมมนาวิชาการ การบริการสาธารณสุขในประชากรต่างด้าว ครั้งที่ 3” ระดมสมอง พัฒนาให้เป็นระบบอย่างยั่งยืน รองปลัด สธ. เสนอเก็บภาษีผู้ประกอบการชดเชยด้านการศึกษา-สุขภาพ ยูเอ็นเอฟพีเอแนะเสริมความเข้มแข็งด้านข้อมูลเพื่อการวางแผน

 

            เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่โรงแรมโฟร์ วิงส์ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข จัดการประชุมสัมมนาวิชาการการบริการสาธารณสุขในประชากรต่างด้าว ครั้งที่ 3 เพื่อจะนำความรู้และข้อค้นพบจากการสัมมนาไปพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขสำหรับประชากรต่างด้าวให้เป็นระบบอย่างยั่งยืน พร้อมกับจัดกิจกรรมลานชุมชน เพื่อการนำเสนอภาพจำลองชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ กว่า 500 คน เข้าร่วมงาน

สสส.ประชุมระดมสมองพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขต่างด้าวอย่างยั่งยืน 

            นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์การอพยพย้ายถิ่นข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน จากข้อมูลของกระทรวงแรงงาน เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2553 มีประชากรต่างด้าว 1,320,690 คน ส่วนใหญ่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่และทำงานได้ชั่วคราว ขณะเดียวกัน ก็ยังมีกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน และกลุ่มผู้ติดตามที่เข้าไม่ถึงการบริการด้านสุขภาพ ซึ่งอาจจะเสี่ยงต่อการเข้าไม่ถึงการรับบริการด้านสุขภาพ การเฝ้าระวังป้องกันโรค และการส่งเสริมด้านสุขภาพ อันจะส่งผลกระทบต่อสังคมไทยโดยตรง ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของกลุ่มแรงานต่างด้าว เช่น การทำงานที่เสี่ยงอันตราย สถานที่ทำงานไม่เหมาะสมต่อการทำงาน เช่น มีสารเคมี สกปรก รวมถึงการถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาส การค้ามนุษย์ เป็นต้น

 

            สสส. กระทรวงสาธารณสุข และองค์กรภาคีที่เกี่ยวข้อง จึงร่วมกันจัดการสัมมนาวิชาการ การบริการสาธารณสุขในประชากรต่างด้าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 เพื่อพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขสำหรับประชากรต่างด้าวให้เป็นระบบอย่างยั่งยืน

 

            นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในฐานะผู้รับผิดชอบและคลุกคลีกับปัญหานี้มานาน ขอถือโอกาสนี้เรียกร้องว่า รัฐบาลควรมีนโยบายสร้างความเป็นธรรมระหว่างคนไทยและแรงงานต่างด้าว มาตรการหนึ่งที่ต้องการเสนอคือ มาตรการทางภาษีเพื่อนำมาชดเชยในเรื่องสุขภาพและการศึกษาแก่แรงงานต่างด้าว รวมทั้งชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดจากโรคติดต่อที่หมดจากประเทศไทยไปแล้ว แต่แรงงานต่างด้าวนำเข้ามา โดยการเก็บภาษีจากผู้ประกอบการที่ได้กำไรส่วนเกินจากแรงงานต่างด้าว ซึ่งราคาถูก เนื่องจากปัจจุบันนี้ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้กินเนื้องบประมาณที่จะให้แก่คนไทย ปี 2554 จะมีการเลือกตั้ง องค์กรพัฒนาเอกชนควรเรียกร้องเรื่องนี้ต่อพรรคการเมือง เพื่อให้ประกาศเป็นนโยบายในการเลือกตั้ง ที่ชัดเจน ระยะยาว  และเป็นรูปธรรม ไม่ควรเป็นมติ ครม.ปีต่อปี ตามสภาพปัญหาที่หน่วยงานเสนอมา เพราะไม่เป็นระบบ

 

            นายนาจีบ แอสซิฟี ผู้แทนกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอฟพีเอ) ประจำประเทศไทย และรองผู้อำนวยการภูมิภาค สำนักงานยูเอ็นเอฟพีเอประจำภูมิภาคเอเชียแอนด์แปซิฟิก กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง การตอบสนองต่อความท้าทายเกี่ยวกับการย้ายถิ่นของประชากรว่า การย้ายถิ่นของประชากรระหว่างประเทศเป็นปรากฏการณ์ที่กำลังขยายตัวและเป็นพลวัตร โลกาภิวัตน์ก็เป็นปัจจัยเอื้อให้เกิดการเคลื่อนย้ายของแรงงานเพิ่มมากขึ้น ในปี พ.ศ.2553 ทั่วโลกมีประชากรย้ายถิ่นประมาณ 214 ล้านคน ซึ่งร้อยละ 3.1 ของประชากรโลกเป็นประชากรย้ายถิ่นระหว่างประเทศ และในจำนวนนี้ร้อยละ 49 เป็นผู้หญิง อีกทั้งการลดลงของอัตราการเจริญพันธุ์และจำนวนประชากรวัยแรงงานในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ รวมทั้งประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางอย่างเช่นประเทศไทยได้นำไปสู่ความต้องการแรงงานจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเพื่อทำให้เศรษฐกิจของประเทศดำเนินต่อไปได้

 

            นายนาจีบ กล่าวว่า โชคไม่ดีที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากการลดลงของอัตราการเจริญพันธุ์อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้ประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นระยะการปันผลทางประชากรหรือช่วงที่ประเทศมีประชากรวัยแรงงานมากที่สุดก็ได้ผ่านไปแล้ว ขณะที่ภาวะพึ่งพิงของประชากรวัยสูงอายุและเด็กต่อประชากรวัยทำงานเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบเหล่านี้ แผนยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาทางประชากร ซึ่งรวมถึงการเคลื่อนย้ายของประชากรต่อนโยบายด้านความมั่นคงของชาติเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับประเทศในการคงความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก

           

นโยบายเรื่องประชากรย้ายถิ่นจำเป็นต้องมีการเสริมความเข้มแข็งในการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ประมวลผลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องสำหรับการวางแผนและจัดการทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากปีนี้ ประเทศไทยจะจัดทำสำมะโนประชากรและเคหะครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 1-30 กันยายน ซึ่งยูเอ็นเอฟพีเอทำงานอย่างใกล้ชิดกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ รวมทั้งองค์กรภาคีอื่นๆ เราจึงหวังว่าจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับประชากรย้ายถิ่นที่ดียิ่งขึ้น นายนาจีบกล่าว

           

นายนาจีบกล่าวว่า ด้วยความจริงที่ว่าประมาณครึ่งหนึ่งของแรงงานย้ายถิ่นเป็นสตรีและส่วนใหญ่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ประเด็นเร่งด่วนอีกประการหนึ่งที่ต้องได้รับการดูแลคือเรื่องความต้องการทางด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ของพวกเขาซึ่งมักจะถูกละเลย เนื่องจากแรงงานย้ายถิ่นที่เป็นสตรีมักตกอยู่สถานะต่ำ ต้องทำงานด้านการผลิตหรือบริการที่ค่าแรงงานต่ำ และมักอยู่ในส่วนของเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการออกระเบียบหรือถูกกีดกันจากการไม่เท่าเทียมของมิติหญิงชาย เช่น ทำงานบ้าน ทำให้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงกว่าต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบ ความรุนแรงและการถูกทำร้าย แรงงานย้ายถิ่นที่เป็นสตรียิ่งมีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อการค้ามนุษย์เพื่อบริการทางเพศ ซึ่งเป็นธุรกิจหลายล้านดอลลาร์ ผู้หญิงที่ถูกลักลอบค้ามนุษย์ต้องเผชิญกับความรุนแรงทางเพศ  โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์รวมทั้งโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (HIV) ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเข้าถึงบริการทางการแพทย์หรือทางกฎหมายได้น้อย

 

ที่มา:สำนักข่าว สสส.

Update:18-08-2553

อัพเดทเนื้อหาโดย:คีตฌาณ์ ลอยเลิศ

Shares:
QR Code :
QR Code