สสส. ชู Data-Driven Policy ใช้ข้อมูลสุขภาพทั่วไทย วางนโยบายลดป่วยNCDs วัยรุ่น-ทำงานเสี่ยงสูง เร่งคัดกรองก่อนอายุ 35 ปี

ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข

ภาพประกอบจาก สสส.

                  สสส. สานพลัง สวรส.-รามาฯ เปิดผลสำรวจสุขภาพคนไทยครั้งที่ 7 วิกฤตคนไทยป่วย NCDs พุ่ง! ห่วงภาวะน้ำหนักเกิน-อ้วน 27.4 ล้านคน ผู้ป่วยเบาหวานความดันสูงรวมเกือบ 20 ล้านคน จ่อเสี่ยงเบาหวานอีก 5.7 ล้าน สสส. ชู “Data-Driven Policy” ใช้ฐานข้อมูลสุขภาพเชื่อมโยงทั่วประเทศ ดันมาตรการช่วยคนไทยลดป่วย ป้องกันโรคได้ตรงจุด นักวิชาการ ห่วงคนรุ่นใหม่-วัยทำงาน ส่อแววป่วย NCDs สูงกว่ากลุ่มสูงอายุ แนะลดอายุคัดกรองกลุ่มเสี่ยงต่ำกว่า 35 ปี พร้อมรณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยงก่อนอายุ 40 ปี หยุดวงจร NCDs ตั้งแต่ต้นทาง

                  เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 7 พ.ย. 68 ที่โรงแรม อัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานแถลงผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 พ.ศ. 2567-2568 ในหัวข้อ “สถานการณ์โรค NCDs ของไทย แนวโน้มและข้อเสนอเชิงนโยบาย” ภายใต้การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย (National Health Examination Survey : NHES)

                  นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า “ข้อมูลสุขภาพประชาชน” เป็นรากฐานสำคัญของการวางนโยบายและยุทธศาสตร์การสร้างเสริมสุขภาพของประเทศ สสส. เห็นความสำคัญของการสำรวจสุขภาพ โดยได้สนับสนุนการสำรวจนี้ตั้งแต่ครั้งที่ 4 เป็นต้นมา ปัจจุบัน สสส. ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานโดย “ขับเคลื่อนนโยบายด้วยข้อมูล” (Data-Driven Policy) ทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ โดยเฉพาะในยุคที่ปัจจัยกำหนดสุขภาพของคนไทยมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ข้อมูลจึงเป็นเครื่องมือหลักในการกำหนดยุทธศาสตร์ จุดเน้น และตัวชี้วัดความสำเร็จของการสร้างเสริมสุขภาพ รวมถึงใช้ติดตามผลการทำงานสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน ข้อมูลจากการสำรวจยังถูกนำไปใช้กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดหลักของ สสส. ระยะ 10 ปี ทั้งในด้านการลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะ และการยกระดับสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถดำเนินงานสุขภาพด้วยตนเองได้อย่างยั่งยืน

                  “การสำรวจสุขภาพนี้เป็นข้อมูลระดับชาติหนึ่งเดียวในไทยที่มีการตรวจเลือดและเก็บตัวอย่างทางชีวภาพ เพื่อวิเคราะห์สถานะสุขภาพ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือด ไต การทำงานของตับ สสส. ได้นำข้อมูลจากมาวิเคราะห์ร่วมกับฐานข้อมูลสุขภาพอื่น ๆ ของประเทศ เช่น ข้อมูลการป่วยและการเสียชีวิต เพื่อนำไปพัฒนาดัชนีภาระโรค (Burden of Diseases) และคะแนนสุขภาพประชาชน (Health Score) สะท้อนสถานะสุขภาพของประชาชนไทย ทั้งโรคไม่ติดต่อ (NCDs) พฤติกรรมสุขภาพ และความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อม เช่น การวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่ดื่มสุราระดับเสี่ยงมีค่าเอนไซม์ตับสูงกว่าคนทั่วไป 3-5 เท่า สะท้อนความเสี่ยงต่อโรคตับแข็งและมะเร็งตับอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ สสส. สามารถกำหนดกลยุทธ์การรณรงค์ลดการดื่มสุราได้ตรงจุดมากขึ้น เป็นพลังสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพยุคใหม่ เพราะจะทำให้มองเห็นปัญหาเชิงพื้นที่ได้แม่นยำขึ้น ติดตามผลได้ชัดเจนขึ้น และออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชนได้จริง” นพ.พงศ์เทพ กล่าว

                  นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งเป็นข้อมูลด้านสุขภาพที่สำคัญต่อการดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขของประเทศไทย เนื่องจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขยังมีข้อจำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยแล้วและมารับการรักษาที่สถานบริการ การสำรวจสุขภาพฯ ช่วยทำให้มองเห็นภาพรวมสถานการณ์สุขภาพของประเทศชัดเจนขึ้น สวรส. จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนการสำรวจสุขภาพฯ มาโดยตลอด ผลสำรวจสุขภาพฯ ครั้งที่ 7 พบว่า มีคนป่วยเบาหวานแต่ไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานถึง 27% หรือ 1.6 ล้านคน และคนป่วยความดันโลหิตสูงที่ไม่รู้ตัวสูงถึง 48% หรือ 8.4 ล้านคน สะท้อนให้เห็นว่าระบบสุขภาพของไทยยังมีช่องว่างที่ต้องพัฒนาเพื่อเพิ่มการเข้าถึงและครอบคลุม

                  “การสำรวจสุขภาพฯ เปรียบเหมือนการลงทุนด้านข้อมูล ที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวทันสถานการณ์สุขภาพของประชาชน และใช้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในการวางแผนกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยเฉพาะการรับมือกับปัญหาสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งสามารถใช้ติดตามและประเมินผลนโยบายและมาตรการด้านสุขภาพ เพื่อการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” นพ.ศุภกิจ กล่าว

                  ศ.นพ.วิชัย เอกพลากร ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า สถานการณ์โรค NCDs ของคนไทยในรอบ 20 ปี หรือตั้งแต่ปี 2547-2568 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ไทยไม่บรรลุเป้าหมายของ WHO ที่กำหนดให้ในปี 2568 โดยไทยต้องลดโรคความดันโลหิตลงให้เหลือไม่เกิน 17% เบาหวานไม่เกิน 7.3% และโรคอ้วนไม่เกิน 36.2% โดยผลสำรวจสุขภาพฯ ครั้งที่ 7 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเบาหวาน 10.6% หรือ 6.1 ล้านคน ป่วยโรคความดันโลหิตสูง 29.5% หรือ 17.5 ล้านคน และมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน 45% หรือ 27.4 ล้านคน ที่น่าเป็นห่วงคือมีคนที่เสี่ยงเป็นเบาหวานในอนาคตถึง 5.7 ล้านคน แม้ว่าคนป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 13.8% เมื่อปี 2547 เพิ่มเป็น 28.6% ในการสำรวจฯ ครั้งนี้ แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ WHO แนะนำ ต้องอยู่ที่ 80%

                  รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 กล่าวว่า ผลสำรวจสุขภาพฯ ครั้งที่ 7 พบว่า คนที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา อ้วน หรือกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ จะมีแนวโน้มป่วยโรค NCDs เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะกลุ่มวัยต่ำกว่า 40 ปี อย่างกรณีโรคเบาหวานที่มักไม่ค่อยพบในคนอายุน้อย ในกลุ่มอายุ 15-34 ปี หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ เลยจะป่วยเบาหวานเพียง 0.3% แต่หากสูบบุหรี่ อ้วน มีไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง จะเสี่ยงเป็นเบาหวานสูงถึง 45.2% และที่น่ากังวลคือ พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ทั้ง สูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือมีกิจกรรมทางกายต่ำ พบว่าในกลุ่มคนอายุน้อยมีแนวโน้มเสี่ยงเพิ่มขึ้นสูงกว่าในกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น อัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มอายุ 15-34 ปี เพิ่มสูงขึ้น แต่ในผู้สูงอายุพบว่ามีแนวโน้มการสูบบุหรี่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มเยาวชน โดยพบว่า 70% ของคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าในไทยอายุต่ำกว่า 30 ปี

                  “การจะควบคุมโรค NCDs ให้ได้ผล ต้องปรับกลยุทธ์ในการจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ ควรกำหนดให้ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ เช่น อัตราการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา อ้วน เป็นตัวชี้วัดในการดำเนินงานและให้มีการคัดกรองร่วมกับการคัดกรองเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และควรขยายการคัดกรองที่ปัจจุบันคัดกรองคนอายุ 35 ปีขึ้นไป ให้ครอบคลุมกลุ่มอายุต่ำกว่า 35 ปีที่มีปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้วย รวมถึงการจัดกิจกรรมรณรงค์หรือโครงการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ควรเน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานเพิ่มมากขึ้น” รศ.พญ.เริงฤดี กล่าว

 

Shares:
QR Code :
QR Code