
สสส.ชูนวัตกรรม ฮีล “แผลใจ” ชวนคนไทยสร้างภูมิคุ้มใจในวันที่ไม่โอเค
ที่มา: งาน Sustrends 2026 Year of Volunteers ณ พิพิธภัณฑ์สวนป่าเบญจกิติ กทม.
เคยไหมที่ในบางครั้ง เรากลับมามองดูตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกว่ายังไม่ดีพอ คำวิจารณ์จากคนรอบข้าง ความกดดันจากครอบครัว และความไม่เท่าเทียมที่มองไม่เห็นในชีวิตประจำวัน กลายเป็นบาดแผลเล็ก ๆ ที่สะสมอยู่ในใจเงียบ ๆ จนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “เศษซากจิตใจที่ถูกทำลาย” หรือ Psychic Debris
บาดแผลเหล่านี้อาจจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มันกำลังกัดกร่อนความรู้สึกและพลังชีวิตของผู้คนในสังคมปัจจุบันอย่างรุนแรง
สถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยกำลังอยู่ในจุดที่น่าเป็นห่วง จากรายงานล่าสุด พบว่า คนไทยกว่า 13 ล้านคนเคยเผชิญกับปัญหาด้านจิตเวช และมีผู้พยายามฆ่าตัวตายมากถึง 30,000 คนต่อปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-19 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เปราะบางที่สุด นั่นคือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่การรับรู้คุณค่าในตัวเองกำลังก่อตัวขึ้น ขณะเดียวกันภาวะซึมเศร้าก็กำลังกลายเป็นโรคทางใจที่แพร่กระจายไม่ต่างจากโรคทางกาย โดยพบมากที่สุดในกลุ่มเยาวชนอายุ 18-24 ปี ซึ่งสาเหตุสำคัญประการหนึ่งมักจะเริ่มต้นขึ้นในครอบครัว จากการเลี้ยงดูที่มุ่งหวังให้ลูกดีที่สุด แต่สิ่งที่เด็กได้รับกลับไม่ใช่คำชื่นชม แต่เป็นคำที่คอยตอกย้ำว่า “ยังไม่ดีพอ” จนในที่สุด เศษซากทางใจเหล่านั้นก็สะสมจนอาจระเบิดออกมาเป็นการทำร้ายตัวเองหรือการจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า
ท่ามกลางวิกฤตนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ริเริ่มแนวคิดที่ปลอบโยนและสร้างสรรค์คนไทยในสังคมที่ต้องเผชิญปัญหาด้านสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่การสร้างภูมิคุ้มกันให้จิตใจผ่านการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทั้งในที่ทำงานและสังคม ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเยียวยา “แผลใจ” และทำให้สังคมของเรากลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง เพราะทุกคนล้วนมีเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามที่จะเติบโตขึ้นได้เมื่อได้รับ “ปุ๋ย” ที่ดีที่สุด นั่นคือการมองเห็นความทุกข์ของผู้อื่นและลุกขึ้นมาช่วยเหลืออย่างแท้จริง
ทางใจที่ทุกคนสร้างได้ ด้วย “สุขภาวะทางปัญญา”
“การช่วยเหลือไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป แต่สามารถทำได้ด้วยแรงกาย แรงใจ สติปัญญา หรือแม้แต่คำพูดที่ให้กำลังใจ สิ่งเหล่านี้คือการส่งต่อความดีที่จะสร้างสังคมแห่งความเอื้ออาทรและความยั่งยืนได้จริง”
คำกล่าวตอนหนึ่งของ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. ได้กล่าวถึงแนวคิด “สุขภาวะทางปัญญา” (Spiritual Health) ว่าเป็นการสร้าง “วัคซีนทางจิตใจ” ที่ช่วยให้เราตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ และไม่ถูกคำวิจารณ์ภายนอกทำลายคุณค่าที่เรามีอยู่ การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน การเป็น “จิตอาสา” ไม่ใช่แค่การให้เงิน แต่เป็นการใช้แรงกาย แรงใจ หรือแม้แต่คำพูดให้กำลังใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยเยียวยาจิตใจของเราเอง และสร้างสังคมแห่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้อย่างยั่งยืน
โดย นพ.พงศ์เทพ ได้กล่าวถึงแนวคิด “สุขภาวะทางปัญญา” (Spiritual Health) ว่านี่คือการสร้าง “วัคซีนทางจิตใจ” ที่จะช่วยให้เราตระหนักถึงคุณค่าในตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบ และไม่ถูกคำวิจารณ์ภายนอกมาทำลายตัวตนที่เราเป็นอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการดูแลตัวเอง คือการเรียนรู้ที่จะ “มองออกไปนอกตัวเอง” มองเห็นความทุกข์ของคนรอบข้างและลงมือช่วยเหลืออย่างไม่หวังผลตอบแทน
“ผ่านมา สสส. ขับเคลื่อนสุขภาวะทางปัญญาที่เน้นการมองออกไปนอกตัวเอง มองเห็นความทุกข์ของคนรอบข้างและสังคม นำไปสู่การช่วยเหลือและการทำงานเพื่อส่วนรวม แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับ ‘จิตอาสา’ ซึ่งจะเป็นหนึ่งในเทรนด์หลักของ Sustrends ปี 2569 โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี เคยกล่าวไว้ว่า ‘ทุกคนมีเมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่จะงอกงามเมื่อถึงเวลา’ ซึ่งปุ๋ยที่ดีที่สุดคือการมองเห็นความทุกข์ของผู้อื่น และลุกขึ้นมาช่วยเหลือ ไม่ใช่เพียงการโทษหรือถามหาคนผิด แต่เป็นการลงมือทำเพื่อให้สังคมและประเทศก้าวไปข้างหน้า” นพ.พงศ์เทพ กล่าว
พลังพิเศษจาก “นักรับฟัง”
จากแนวคิดที่เป็นนามธรรม สสส. ได้เปลี่ยนให้เป็นนวัตกรรมที่จับต้องได้ หนึ่งในนั้นคือโครงการ “นักรับฟัง พลังพิเศษ” (Gifted Listener) ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีเป้าหมายที่ลึกซึ้งและอบอุ่น นั่นคือการฝึกอบรมให้ “คนพิการ 500 คน” เป็น “นักปฐมพยาบาลจิตใจ” เพื่อช่วยดูแลสุขภาพจิตเบื้องต้นให้แก่ผู้คนในสังคม โครงการนี้จึงไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพจิต แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพให้กับคนพิการ ทำให้พวกเขาสามารถพึ่งพาตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยหลักสูตรอาสาสมัครปฐมพยาบาลทางใจ (Mind First Aid) นี้ถูกออกแบบตามโมเดล 4S ได้แก่ 1.Support เข้าใจระบบสนับสนุน 2.Sense รับรู้และเข้าใจผู้อื่น 3.Summarize ส่งต่อความช่วยเหลือ และ 4.Self-care ดูแลใจตนเอง เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีทักษะการรับฟังอย่างไม่ตัดสิน และสามารถให้คำปรึกษาเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะดูแลสุขภาพจิตของผู้คนในองค์กรต่าง ๆ ได้ถึง 50,000 คน และให้บริการรับฟังแก่ประชาชนทั่วไปได้มากถึง 100,000 คน
MU-ZeroGBV นวัตกรรมแอปพลิเคชัน องค์กรปลอดภัยไร้คุกคาม
แต่แผลใจไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในชีวิตส่วนตัวเท่านั้น ปัญหาในที่ทำงาน โดยเฉพาะเรื่องความรุนแรงบนฐานเพศและการคุกคามทางเพศ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนสุขภาพจิตและบั่นทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จากการสำรวจของ สสส. และมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าพนักงานเอกชนถึง 44.4% เคยถูกคุกคามทางเพศ และในกลุ่มหลากหลายทางเพศนั้นตัวเลขยิ่งน่าเป็นห่วง พุ่งสูงถึง 60.2% โดยพฤติกรรมที่พบบ่อยได้แก่ การล้อเลียนรูปร่างหน้าตา การแซว การหยอกล้อในเรื่องเพศ รวมถึงการถูกลูบคลำ แม้จะมีกฎหมายคุ้มครอง แต่หลายองค์กรยังขาดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ทำให้ปัญหาเหล่านี้ถูกละเลยจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ไม่น่าไว้วางใจ
เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ สสส. และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมกันพัฒนา E-learning Application: MU-ZeroGBV in Workplace ซึ่งเป็นเครื่องมือดิจิทัลที่เปรียบเสมือนป้อมปราการแห่งความปลอดภัยในที่ทำงาน แอปพลิเคชันนี้มีเนื้อหาครอบคลุม 9 โมดูลสำคัญ ตั้งแต่ความรู้ด้านสิทธิและกฎหมาย การรับมือเมื่อเกิดเหตุ การสร้างวัฒนธรรมการยอมรับฟังความยินยอม ไปจนถึงบทบาทของผู้บริหารและฝ่าย HR ในการป้องกันและจัดการปัญหา
รศ.ดร.สุชาดา ทวีสิทธิ์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โครงการได้พัฒนาหลักสูตรและคู่มือแนวปฏิบัติครอบคลุมเนื้อหาสาระสำคัญ 9 โมดูล ได้แก่ 1.ความรู้พื้นฐานด้านสิทธิและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ GBV และการคุกคามทางเพศ 2.ความจำเป็นและบทบาทของแอปพลิเคชันในฐานะเครื่องมือดิจิทัล 3.สาเหตุและปัจจัยทางสังคมที่นำไปสู่ความรุนแรงบนฐานเพศ 4.ความเข้าใจเรื่องการคุกคามทางเพศในที่ทำงานและผลกระทบ 5.การสร้างวัฒนธรรมรับฟังความยินยอมในเรื่องเพศ 6.การสร้างวัฒนธรรมการรับฟังความยินยอมอย่างแท้จริง 7.การเรียนรู้จากสถานการณ์และวิธีรับมืออย่างเหมาะสม 8.การประเมินความเสี่ยง ช่องทางร้องทุกข์ และแหล่งความช่วยเหลือ และ 9.บทบาทของ HR ผู้จัดการ และผู้บริหารในการป้องกันและจัดการปัญหา
“จุดเด่นของแอปพลิเคชัน คือ มีระบบสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น วิดีโอ อินโฟกราฟิก แบบฝึกหัด กรณีศึกษา แบบทดสอบท้ายบท พร้อมระบบประเมินผลอัตโนมัติ และออกใบวุฒิบัตรออนไลน์ให้ทันทีสำหรับผู้เรียนที่ผ่านเกณฑ์ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำแบบประเมินความเสี่ยงส่วนบุคคล แจ้งร้องทุกข์ผ่านช่องทางออนไลน์ และเข้าถึงข้อมูลหน่วยงานสนับสนุนภายนอกได้โดยตรงทั้งบนโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป้าหมายของโครงการมุ่งหวังให้สถานประกอบการภาคเอกชนอย่างน้อย 200 แห่ง นำระบบ E-learning ไปใช้จริง และต่อยอดสู่การจัดทำนโยบายและแนวปฏิบัติที่เป็นธรรมภายในองค์กรต่อไป” รศ.ดร.สุชาดา กล่าว
ท้ายที่สุดแล้ว การเยียวยาแผลใจของคนในสังคมและสร้างภูมิคุ้มใจที่เข้มแข็ง อาจไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือการลงมือทำร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งในระดับปัจเจกชนที่เริ่มจากการ “มองออกไป” ไปจนถึงระดับองค์กรและนโยบายที่สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการเติบโตของจิตใจของทุกคนไปพร้อมกัน