สสส. ชี้! รายการสุขภาพสวนทางกระแสพึ่งตัวเอง

เน้นโฆษณาแฝง โรงพยาบาล ยาและอาหารเสริม

สสส. ชี้! รายการสุขภาพสวนทางกระแสพึ่งตัวเอง

 

        เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม มีเดีย มอนิเตอร์ (media monitor)  ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมกับมูลนิธิสุขภาพไทย และแพทยสภา ร่วม จัดงานแถลงผลการศึกษาเรื่อง รายการสุขภาพในฟรีทีวี ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 35 (สสส.) อาคารเอสเอ็ม ทาวเวอร์ 

 

       นายธาม เชื้อสถาปนศิริ ผู้จัดการกลุ่มงานวิชาการ โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อฯ กล่าวว่า จากการสำรวจศึกษาวิเคราะห์เนื้อหารายการสุขภาพ โฆษณาตรงและโฆษณาแฝงในรายการสุขภาพทางสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวี (ช่อง 3, 5, 7, 9, nbt และ ทีวีไทย) ในเดือน ธ.ค. 2551 ตลอด 24 ชั่วโมง พบว่า มีรายการโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพทั้งสิ้น 27 รายการ รวมเวลาออกอากาศ 905 นาทีต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แม้จะมีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิม แต่เมื่อดูภาพรวมเวลาออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ทั้งหมดยังถือว่าน้อยมาก เพราะมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 1 เปอร์เซ็นต์

 

        นายธาม กล่าวต่อว่า รายการที่นำเสนอแบ่งเป็นรายการสุขภาพเชิงพาณิชย์ และรายการสุขภาพไม่หวังผลเชิงพาณิชย์  เนื้อหาในรายการทีวีที่ได้ถูกนำเอามาเสนอส่วนใหญ่เป็น โรคและอาการผิดปกติต่างๆ ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่ไม่ติดต่อและที่สำคัญยังต้องอาศัยการพึ่งพาแพทย์ในการรักษา ทั้งนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ คำพูดของผู้ดำเนินรายการ ที่มีการแฝงการโฆษณาสินค้า รวมถึงโฆษณาตรงและโฆษณาแฝงในรายการที่มีมาก และรายการสุขภาพบางรายการเน้นใช้วิธีการนำเสนอเรื่องราวที่สร้างความวิตกกังวลให้แก่ผู้ชม เช่น อาการป่วยเพียงเล็กน้อย จะนำไปสู่โรคอันร้ายแรง ทำให้ผู้ชมเกิดความกลัว วิตกกังวล ผ่านละครจำลองเหตุการณ์ เป็นต้น

 

        รศ.ดร. ปาริชาติ สถาปิตานนท์ อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในปัจจุบันกระแสของ csr (โฆษณาเชิงสร้างสรรค์สังคม) เป็นกระแสที่กำลังมาแรง หน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งหาทางแก้ไข อย่างการใช้กฎกติกาใหม่ๆ การพัฒนากฎเกณฑ์เดิม และที่สำคัญต้องปรับตัวให้ทันกับโลกทุนนิยมและกระแสเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ เพื่อให้เท่าทันธุรกิจโฆษณา ขณะเดียวกันภาคธุรกิจก็จำเป็นต้องต้องให้ความสนับสนุนกับทางรายการสุขภาพ โดยไม่เน้นการแข่งขันในสื่อจนมากเกินไป รวมถึงประชาชนควรเฝ้าระวังและร่วมประสานงานกับสื่อมวลชนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเตือนสติประชาชนให้รู้เท่าทันสื่อ รวมทั้งตัดสินใจให้รอบคอบในการเลือกสินค้าบริการทางสุขภาพ โดยต้องคำนึงถึงความจำเป็น ความเหมาะสม ความปลอดภัย และควรหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจอีกด้วย

 

        นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ ผู้จัดการมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของโรค ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ในการรักษา เช่น การท้องเสียธรรมชาติ ที่สำคัญประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจถึงโคร และเมื่อใดควรไปพบแพทย์ ดังนั้นควรตระหนักและให้ความสำคัญในเนื้อหาสุขภาพมากกว่าการเชื่อในโฆษณาตรงและโฆษณาแฝง

 

        ด้าน นายแพทย์อิทธิพร คณะเจริญ รองเลขาธิการ แพทยสภา กล่าวว่า ปัญหาโฆษณาแฝงในรายการสุขภาพที่ผ่านมา ยอมรับว่าปัญหาการโฆษณามีการฟ้องร้องเป็นอันดับ 1 ของจริยธรรมแพทย์ แต่ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่แพทยสภากำลังจับตาดูอยู่ และพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น  แต่ทางแพทยสภามีอำนาจเพียงดูแลเฉพาะตัวแพทย์เท่านั้น ไม่รวมถึงสถานประกอบการซึ่งเป็นหน้าที่ของกองการประกอบโรคศิลปะ โดยมีคณะกรรมการจริยธรรมควบคุมดูแล

 

        ขณะที่ พ.ญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ผู้จัดการโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อฯ กล่าวว่า การโฆษณาแฝงควรมีการกำหนดเป็นกฎหมายเพื่อกำกับ เนื่องจากในบางรายการไม่ควรมีการโฆษณาแฝง เพราะอาจสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค และอาจเกิดความเข้าใจผิด โดยเฉพาะรายการที่นำเสนอเนื้อหาสุขภาพและรายการเด็ก

          “การโฆษณาประเภทนี้ ยังไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง แม้แต่ในละครทีวีที่มักเห็นป้ายโรงพยาบาลอยู่ตรงหัวเตียงผู้ป่วยในเนื้อหาละคร ซึ่งถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคเนื่องจากมีการยัดเนื้อหาโฆษณาโดยตลอด ในบางประเทศมีการเก็บภาษีค่าโฆษณาแฝงเหล่านี้ แต่บ้านเรายังไม่มีหลักเกณฑ์”พ.ญ.พรรณพิมล กล่าว

 

          นอกจากนี้ควรมีการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสื่อ โดยจัดตั้งองค์กรเพื่อดูแลสิทธิผู้บริโภคด้านสื่อโดยเฉพาะ และมีเครือข่ายเฝ้าระวังเช่น การโฆษณาแฝง ที่กลายเป็นโฆษณาที่ชัดเจนและมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นควรมีการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการรวมตัว และมีการคุ้มครองผู้บริโภคด้านนี้ต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องโดย : พัชรี  แป้นแก้ว   team content www.thaihealth.or.th

 

 

update: 04-05-52

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code