สสค.สัญจรโรงเรียนต้นน้ำโขง
สสค.สัญจร โรงเรียนต้นน้ำโขง ต้นแบบ “อีโค สคูล” ของครูสอนดี เจียมใจ รุ่งเรืองวงศ์ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน โดยการดึงนักเรียน และชุมชน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ผู้ได้รับทุนครูสอนดีอีสานตอนบนทั้ง 109 โครงการ ในพื้นที่ 15 จังหวัด
สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จัดเวทีสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการพัฒนาสมรรถนะครูสอนดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน โดยมีผู้ได้รับทุนครูสอนดีทั้งสิ้น 109 คน ในพื้นที่ 15 จังหวัดได้แก่ ขอนแก่น ชัยภูมิ เลย อุดรธานี หนองบัวลำภู บึงกาฬ หนองคาย สกลนคร กาฬสินธุ์ มุกดาหาร นครพนม ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ยโสธร อำนาจเจริญ ระหว่างวันที่ 21-22 ตุลาคมนี้ ณ โรงแรมเจริญโฮเตล นอกจากนี้สสค.ยังเชิญคณะสื่อมวลชนร่วมเรียนรู้กรณีศึกษา นางเจียมใจ รุ่งเรืองวงศ์ ผู้ได้รับทุนครูสอนดีจ.บึงกาฬ ต้นแบบ “อีโค สคูล” หรือโรงเรียนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการทำงานของกลุ่มเยาวชนแกนน้ำอนุรักษ์ต้นน้ำโขง “ชมรมคนรักภูวัว” ซึ่งใช้หลักสูตรท้องถิ่นประยุกต์ใช้ ‘7 กระบวนการเรียนรู้’ พัฒนาสิ่งแวดล้อมคนถิ่น ที่โรงเรียนบ้านโนนสำราญ-ยางเรียน อ.เซกา จ.บึงกาฬ
นางเจียมใจ รุ่งเรืองวงศ์ ผู้ได้รับทุนครูสอนดีจ.บึงกาฬ โรงเรียนบ้านโนนสำราญ-ยางเรียน กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการสร้างหลักสูตรท้องถิ่น มาปรับใช้พัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนนั้น เกิดจากความคิดที่อยากให้เด็กเยาวชนเริ่มรู้จักคิดแก้ปัญหาผ่านการทำโครงงาน จึงเริ่มจากสิ่งใกล้ตัว ซึ่งก็คือ การดูแลสภาพแวดล้อมรอบโรงเรียนและชุมชน เนื่องจากบริบทของพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีน้ำตก และป่าภูวัวที่สมบูรณ์ แต่มีปัญหาการบุกรุกทำลายป่า การตัดไม้พะยูง และปัญหาจากมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะห้วยบังบาตร ซึ่งเป็นต้นน้ำที่จะไหลไปสู่แม่น้ำโขง เด็กเยาวชนจึงคิดทำโครงการที่เน้นอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด
สำหรับกระบวนการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1.สำรวจสภาพปัญหา 2.การให้ความรู้ฐาน ด้วยการสืบค้นความรู้จากอินเตอร์เน็ต ชุมชนและภูมิปัญญา 3.วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่เรียนกับวิถีชีวิตของคนในชุมชนเพื่อเชื่อมโยงสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 4.การเรียนรู้สถานการณ์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต เพื่อเชื่อมโยงสถานการณ์ เพื่อมองหาและสำรวจทางเลือกรอด 5.วางแผนตามทางเลือกที่กำหนดไว้ในขั้นที่ 4 โดยใช้การวางแผน-การลงมือปฏิบัติ-การตรวจสอบงาน และการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นที่เรียกว่า ระบบ pdca (plan-do-check-act) มาเป็นเครื่องมือ 6.ลงมือปฏิบัติตามแผนงาน โดยดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม และ 7.การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำสิ่งที่เรียนรู้มาสร้างความรู้ใหม่ และเผยแพร่สู่สาธารณชน
“ครูจึงได้นำกระบวนการดังกล่าวมาปรับใช้ในกิจกรรมโครงการทุนครูสอนดี และทดลองใช้ในภาคการศึกษาที่ 2 ในปี 2555 ผลปรากฏว่า เด็กที่เข้าสู่กระบวนการ 7 ขั้นตอนสามารถคิดวิเคราะห์ได้ด้วยตนเอง และสามารถสร้างชุดความรู้ใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น มีสำนึกรักถิ่นเกิด นอกจากนี้ ยังได้ชักชวนผู้ปกครอง ผู้นำชุมชน กรรมการสถานศึกษาให้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรในท้องถิ่นของตนเองเพื่อให้เกิดความยั่งยืนอีกด้วย โดยผลสำเร็จที่เห็นชัดเจนคือ เด็กนักเรียนมีพัฒนาการเรื่องการคิดวิเคราะห์มากขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ รู้จักการวางแผน มองอนาคตออก กล้าพูด กล้าแสดงออก กล้าที่จะนำเสนอ เมื่อเขาสามารถทำได้ก็ความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง ครูจึงเปลี่ยนหน้าที่เป็นเพียงโค้ชที่คอยเป็นผู้สนับสนุนเด็กเท่านั้น เพื่อปล่อยให้เขาคิดเองโดยอิสระ และครูต้องอดทนที่จะรอ” นางเจียมใจกล่าว และเสริมต่อว่า
ผลจากการทดลองมาสองรุ่น พบว่า รุ่นที่ 1 (ปี 2555) เด็กค้นพบว่า ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขคือ ปัญหาตลิ่งทรุด พังทลาย ส่งผลให้ตลิ่งกว้าง แต่ตื้นเขิน ทิศทางน้ำเปลี่ยน เด็กๆ จึงไปค้นหาข้อมูลและเห็นโครงการเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมีการใช้หญ้าแฝกมาปลูก สามารถแก้ไขปัญหาได้ผลดี ส่วนรุ่นที่ 2 (ปี 2556) ซึ่งตรงกับช่วงท่องเที่ยว พบปัญหานักท่องเที่ยวทิ้งขยะ เด็กๆ จึงช่วยกันรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวทิ้งขยะเป็นที่เป็นทางมากขึ้น
ด้านดร.พิณสุดา สิริธรังศรี หัวหน้าทีมติดตามภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน สสค. กล่าวว่า ด้วยบริบทของ จ.บึงกาฬ เป็นหมู่บ้านชนบท ชุมชนชายแดนของบ้านบังบาตรที่ห่างไกลมาก การดำเนินชีวิตมีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะบริเวณห้วยบังบาตร ใช้น้ำจากน้ำตก ดังนั้น ครูก็ต้องการฝึกอุปนิสัยเด็กให้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จึงได้ใช้กระบวนการทำสื่อการเรียนการสอน 7 เรื่อง วางเป็นกระบวนการ 7 ขั้นตอน คือ 1.จากต้นสายถึงปลายน้ำ 2. ย้อนรอยอดีต 3. ห้วยบังบาตรเปลี่ยนไป 4. วิถีไทบ้าน 5. สรรค์สร้างทางแก้ 6. ดูแลร่วมกัน และ 7. ห้วยบังบาตรยั่งยืน
เพื่อฝึกภาวะผู้นำของเด็ก ฝึกกระบวนการเรียนการสอนให้เด็กอนุรักษ์ท้องถิ่นธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกิดทักษะกระบวนการในการแก้ไขปัญหาชุมชนของตนเอง และสิ่งที่โดดเด่นคือ เด็กเกิดภาวะผู้นำในเด็กโต เริ่มตระหนักปัญหาของท้องถิ่นที่ปล่อยไม่ได้ จึงเกิดการชักชวนชุมชนท้องถิ่น จนเกิดเป็นวัฒนธรรม ชมรม ให้พ่อ แม่ ท้องถิ่น หันมาร่วมมือกันอนุรักษ์ เพราะเห็นปัญหาชายฝั่งเริ่มพังทลายในบางส่วน น้ำก็สกปรก แต่ด้วยกระบวนการ 7 ขั้นตอนนี้ เมื่อชุมชน ผู้ปกครองหันมาให้ความสำคัญก็เริ่มนำหญ้าแฝกไปปลูกป้องกันการพังทรายของดิน ประเด็นสำคัญในในแง่ของการเรียนรู้เด็กได้ทักษะการคิดวิเคราะห์ชัดเจนมาก ทักษะการแก้ปัญหา การตอบตำถามก็พัฒนา ขยายผลไปสู่พ่อ แม่ ผู้ปกครอง โดยใช้บังบาตรเป็นเครื่องมือพัฒนาการเรียนรู้ ซึ่งโดดเด่นมาก เห็นผลความสำเร็จที่ชัดเจน เพราะนำประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเชิงประจักษ์จากท้องถิ่นมาแก้ไข
“ครูเจียมใจ จึงเป็นหนึ่งในตัวอย่างผู้ได้รับทุนครูสอนดีภาคอีสานตอนบนที่เป็นผู้สรรค์สร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยการเป็นผู้อำนวยความสะดวก โดยให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง โดยในเวที km ครูสอนดีภาคอีสานตอนบนจะมีการแบ่งรูปแบบการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็น 2 รูปแบบ คือ 1.ตามระดับการเรียนรู้ ได้แก่ ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาและการศึกษาพิเศษ และ 2.ตามรูปแบบหลักสูตร ได้แก่ วิชาการ วิชาชีพ และทักษะชีวิต ซึ่งเชื่อมั่นว่า การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทั้งที่สำเร็จ และล้มเหลวจากการทำงานของครูสอนดี 8-9 เดือนที่ผ่านมา จะช่วยเติมเต็มให้เพื่อนครูสอนดีและเครือข่ายได้พัฒนาศักยภาพตัวเองเพิ่มขึ้น”
นายอุทิศ อินลี รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโสกก่าม อ.เซกา จ.บึงกาฬ กล่าวว่า อบต.เห็นความสามารถของเด็กนักเรียนที่กล้ามาเสนอโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น เมื่อฟังปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วก็พร้อมสนับสนุนทันทีในเรื่องงบประมาณในการจัดทำเอกสารเผยแพร่ ให้กับคนในชุมชน หมู่บ้าน และนักท่องเที่ยว เพื่อแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวทิ้งขยะจำนวนมาก ซึ่งการที่เด็กลงมาอนุรักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติด้วยตัวเอง เท่ากับเป็นการปลูกฝัง เมื่อเติบโตขึ้นมาก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่รักธรรมชาติ หวงแหนบ้านเกิด ทำให้เห็นถึงความยั่งยืน นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ใหญ่ในพื้นที่ 4 หมู่บ้านหันหน้าเข้ามาร่วมกันอนุรักษ์ด้วย สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์และความสามัคคีของคนในชุมชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ และที่สำคัญเด็กของเรามีพัฒนาการที่ดีขึ้นด้วย
ส่วน ด.ญ.ทิพย์วรรณ บุญเอิน อายุ 11 ปี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แกนนำเยาวชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โรงเรียนบ้านโนนสำราญ-ยางเรียน กล่าวถึงบทบาทการเป็นแกนนำในการอนุรักษ์ห้วยบังบาตรให้มีความยั่งยืนว่า จุดเริ่มต้นเกิดจากรุ่นพี่ปีที่แล้วลงไปสำรวจปัญหาที่ห้วยบังบาตรว่ามีปัญหาเรื่องตลิ่งพัง จึงต่อยอดมาจนกระทั่งปีนี้ที่เราพบว่า นักท่องเที่ยวยังทิ้งขยะไม่เป็นที่ รุ่นของเราจึงเลือกที่จะทำการประชาสัมพันธ์รณรงค์การไม่ทิ้งขยะห้วยบังบาตรในวันเสาร์อาทิตย์
“ดูเผินๆ ก็เหมือนการรณรงค์ไม่ทิ้งขยะทั่วไป แต่สำหรับพวกเรานั้น “ภูวัว” เป็นเหมือนแหล่งช้อปปิ้ง เป็นเซเว่น บิ๊กซี โลตัสสำหรับพวกหนู ที่พอเดินกลับออกมา ก็จะมีของกินติดไม้ติดมือ ไม่ว่าจะเป็นเห็ด ผัก หน่อไม้ เราเติบโตท่ามกลางแหล่งอาหารที่สมบูรณ์และแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นเหมือนแหล่งเรียนรู้ แต่พอเราโตขึ้นก็พบว่า สภาพความสมบูรณ์เริ่มจะหายไปเพราะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะมาก ทำให้เกิดมลภาวะ น้ำเริ่มเน่าเสีย มีขยะรอบๆบริเวณน้ำตก ฉะนั้นกระบวนการคิดแก้ปัญหา 7 ขั้น ตามที่ครูเจียมใจสอนนั้น หนูและเพื่อนจึงคิดตั้งต้นจากสิ่งที่ใกล้ตัว เพื่อช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ได้ทดแทนบุญคุณบ้านเกิดของตัวเอง ฉะนั้นต้องช่วยกันสร้างจิตสำนึกจากทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดความยั่งยืน” ด.ญ.ทิพย์วรรณ กล่าว
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)