สร้างถนนปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ภายใน10 ปี


องค์การสหประชาชาติ ประกาศให้ปี ค.ศ.2011-2020 (พ.ศ. 2554- 2563) เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน และสนับสนุนให้มีการประกาศเจตนารมณ์ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนนพร้อมเพรียงกันทุกประเทศ ในวันที่ 11 พฤษภาคม  2554


วิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย รองประธานกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.)กล่าวในฐานะประธานในพิธีเปิดงาน “ประกาศเจตนารมณ์ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2554-2563 ว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ยวันละ 25 คน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่าปีละ 230,000 ล้านบาท แต่ความสูญเสียดังกล่าวสามารถป้องกันได้โดยความร่วมมือ ของทุกฝ่าย สำหรับประเทศไทย รัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ดำเนินการตามปฏิญญาขององค์การสหประชาชาติ ผลักดันให้ทุกฝ่ายร่วมกันสร้างความปลอดภัยทางถนนตามมาตรฐานสากลตลอด 10 ปีของการรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน มี


นายวิเชียร กล่าวต่อว่า มาตรการแรกที่รัฐบาลจะเร่งผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม และได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ได้แก่ การส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในระยะต่อไป รัฐบาลได้กำหนดมาตรการที่จะให้ทุกฝ่ายร่วมกันดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมุ่งมั่นที่จะสร้างถนนทุกสายในประเทศไทยให้เป็นถนนสายปลอดภัย เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ทศวรรษแห่งความปลอดภัยอย่างยั่งยืน พร้อมสนับสนุนการลดพฤติกรรมเสี่ยงจากการเมาแล้วขับการแก้ไขจุดเสี่ยงจุดอันตราย การปรับพฤติกรรมการใช้ความเร็ว การยกระดับมาตรฐานยานพาหนะให้ปลอดภัย การพัฒนาสมรรถนะผู้ใช้รถใช้ถนนระบบการแพทย์ฉุกเฉิน และระบบการบริหารจัดการ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย


ศ.นพ.อุดมศิลป์  ศรีแสงนาม ที่ปรึกษาคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนวันละ 25-30 คน หรือคิดเป็นชั่วโมงละ 1 คน มีผู้พิการรายใหม่ปีละกว่า 5,000 ราย เป็นปัจจัยสำคัญทำให้สังคมมีความอ่อนแอ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้รับมอบหมายจากมติคณะรัฐมนตรีให้มีส่วนสนับสนุนการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ โดย สสส. และภาคีเครือข่าย สนับสนุนให้เกิดผู้นำการเปลี่ยนแปลง ด้านความปลอดภัยในทุกระดับ ตั้งแต่รัฐบาลและฝ่ายการเมือง ผู้นำส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคธุรกิจ


ขณะที่ภาคประชาชนเริ่มมีท้องถิ่น ชุมชน หันมาให้ความสำคัญและ ลุกขึ้นมาดำเนินการด้วยตัวของตัวเอง พัฒนาเป็นต้นแบบ ชุมชนปลอดภัย, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กปลอดภัย, สถานประกอบการปลอดภัย ที่สำคัญคือ เกิดการรวมกลุ่ม เครือข่าย อาทิ เหยื่อเมาแล้วขับ, กลุ่มเยาวชนที่ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาการ


ดื่มเครื่องแอลกอฮอล์ รวมถึงเครือข่ายสมัชชาสุขภาพในระดับจังหวัดและชุมชน เพื่อร่วมสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดต้นแบบดี ๆ ในด้านความปลอดภัยให้เพิ่มจำนวน รวมทั้งการนำบทเรียนเหล่านี้ ไปเชื่อมต่อกับโครงสร้างองค์กรที่มีอยู่แล้ว ขยายผลให้ครอบคลุมไปทั่วประเทศ


ด้าน นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการชมรมคนห่วงหัว ในมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า การสวมหมวกกันน็อกช่วยลดการตายจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ได้ถึงร้อยละ37 ผู้ที่ไม่สวมหมวกมีโอกาสบาดเจ็บทางสมองสูงกว่าผู้ที่สวมถึง 6 เท่า เพื่อเป็นการรณรงค์ให้มีการสวมหมวกกันน็อก 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับปีแห่งความปลอดภัยของสหประชาชาติ มูลนิธิจึงร่วมกับกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุภาครัฐ ภาคเอกชน เปิดตัว น.ส.วรินทร คุณาวัฒโนทัย พรีเซ็นเตอร์ในการสวมหมวกกันน็อก จากผู้บริหารสาวมาเป็นคนพิการเพียงชั่วข้ามคืนเพราะไม่สวมหมวกกันน็อก เธอออกแบบ “ผ้าคนห่วงหัว” สำหรับใช้คลุมศีรษะก่อนสวมหมวกกันน็อกป้องกันความสกปรก ให้เป็นทางเลือกโดยเฉพาะผู้ใช้รถจักรยานยนต์รับจ้าง ผู้สนใจขอรับผ้าคนห่วงหัวได้ที่ ชมรมคนห่วงหัว 28/12 ซอยสุขุมวิท 19 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 โทรศัพท์ 0-2254-0044, 0-2254-5959


“วันนั้นถ้าแค่สวมหมวกกันน็อก วันนี้ก็คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนี้ อย่าคิดว่าไม่เป็นไร” ถ้อยคำที่วรินทร อยากฝากถึงผู้ขี่และโดยสารมอเตอร์ไซค์ทุกท่าน


 


 


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Shares:
QR Code :
QR Code