สมัชชาสหวิชาชีพ ระดมความคิดยุติความรุนแรงต่อเด็กสตรี
“มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล” ระดมภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานเกี่ยวข้องบูรณาการสหวิชาชีพ แก้ไขปัญหาความรุนแรงในระยะยาว หลังพบว่าแม้มีระเบียบปฏิบัติงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ว่าด้วยการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้อง แต่ยังขาดการดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว
อีกทั้งมีอุปสรรคในการประสานงานส่งต่อผู้ประสบความรุนแรง อันเนื่องมาจากผู้ปฏิบัติงานบางส่วนขาดความรู้ ความเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับทัศนคติของผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวบางรายไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจต่อกฎหมายส่งผลให้เกิดความรุนแรงที่มีปัญหาซับซ้อนเพิ่มขึ้น เผยผู้ชาย 86% ยังชอบใช้ความรุนแรงกับเด็กและสตรี ระบุการแก้ไขปัญหาต้องเยียวยาผู้ถูกกระทำ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้กระทำไปพร้อมกัน ยกจังหวัดสมุทรปราการ นนทบุรี โมเดลลดความรุนแรงได้ผล
เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2555 ที่โรงแรมพาลาซโซ ห้วยขวาง นายศุภฤกษ์ หงษ์ภักดี รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “สมัชชาสหวิชาชีพ เพื่อยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี” จัดโดย กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
นางสาวสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2553 พบว่า เด็กและสตรีที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรง ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทั่วประเทศมีจำนวน 25,767 ราย แบ่งเป็นเด็ก 53% ผู้หญิง 47% นอกจากนี้ศูนย์ข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ปี 2551-2554 ยังพบว่า ผู้กระทำความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากถึง 86%
นางสาวสุเพ็ญศรี กล่าวว่า การแก้ปัญหาความรุนแรงในเด็กและสตรี จะต้องเกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งชุมชน โดยในปี 2555นี้ จะมีการนำพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จในการลดความรุนแรงในเด็กและสตรี ของจังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดนนทบุรี เป็นตัวอย่างของการดำเนินงาน และในการสัมมนาในครั้งนี้ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย มาร่วมเสนอแนวทางการทำงาน รวมทั้งการให้ความรู้ในการดำเนินงานแก่เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและเห็นผล เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยมี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 เกิดขึ้น แต่ภาพรวม รายละเอียดในการปฏิบัติยังไม่ชัดเจน
“การดำเนินงานลดความรุนแรงในเด็กและสตรีให้ได้ผล จะต้องมีการประชุมถึงแนวทางการทำงาน ให้คำปรึกษา การทำงานของชุมชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นการทำงานแบบสหวิชาชีพ จะเป็นตัวช่วยให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย ที่สำคัญเราต้องเยียวยาและฟื้นฟูจิตใจของผู้ถูกกระทำอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการบำบัดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้กระทำไปพร้อมๆ กัน” นางสาวสุเพ็ญศรี กล่าว
ขณะที่ นางสาวอรุณี ศรีโต นายกสมาคมส่งเสริมสิทธิชุมชนเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า ได้ทำการศึกษาและแก้ปัญหาความรุนแรงในเด็กและสตรีของชุมชนไทยเกรียงพัฒนา ตำบลบางจาก จังหวัดสมุทรปราการ ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน พบว่า ชุมชนแห่งนี้มีผู้อยู่อาศัยมากถึง 400 หลังคาเรือน แต่มีเพียง 100 หลังคาเรือนเท่านั้นที่มีทะเบียนบ้าน สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดความรุนแรงในเด็กและสตรี คือ ยาเสพติดและการดื่มสุรา ซึ่งมีสาเหตุมาจากครอบครัวมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย มีความเครียด ความไม่มั่นคงของที่อยู่อาศัยและงานที่ทำ โดยเฉลี่ยผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำมีค่าใช้จ่ายคิดเป็นเงินมากถึง 18,250 บาทต่อปี
นางสาวอรุณี กล่าวว่า จากสาเหตุดังกล่าวทำให้เด็กถูกครอบครัวละเลยการดูแล ปล่อยให้เด็กดำเนินชีวิตด้วยตนเอง กลายเป็นเด็กติดเกมส์ มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนผู้ปกครองเมื่อผู้เป็นพ่อหรือแม่ดื่มสุรา ก็จะเกิดปัญหาทำร้ายร่างกายขึ้นมา ซึ่งดูเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของคนในชุมชน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในเด็กและสตรีของสมาคมฯ เริ่มจากการเข้าไปพูดคุยกับครอบครัวที่รู้จักกันและมีปัญหา จากนั้นก็ขยายผลไปยังครอบครัวอื่นๆโดยมี อสม.ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำ นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพของคนในชุมชน และการให้สัตย์ปฏิญาณในการเลิกเหล้า ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้ผล
“วันนี้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในชุมชนลดน้อยลง ชาวบ้านให้ความสนใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น หากพบว่าบ้านใดที่มีการใช้ความรุนแรงจะมีการแจ้งมายังสมาคมฯ เพื่อเข้าทำการช่วยเหลือ และพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดให้กับผู้ที่มีปัญหา ทั้งนี้อยากให้ภาครัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานท้องถิ่นมีนโยบาย และงบประมาณที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาเรื่องความรุนแรงในเด็กและสตรี” นายกสมาคมฯ กล่าว
ที่มา: มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล