สมัชชาครอบครัวเสนอ 5 ข้อต่อนายกฯ
แก้ปัญหาครอบครัว
สมัชชาครอบครัวระดับชาติ นำข้อเสนอแก้ปัญหาครอบครัว 5 ข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี พร้อมเผยผลวิจัยพบมาเฟียเด็ก กทม.เด็กประถมเริ่มรีดไถเงิน ขณะที่นายกรัฐมนตรี รับปากที่จะนำข้อสรุปไปกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวต่อไป
สถาบันครอบครัวถือเป็นสถาบันหลักของสังคมไทย เพราะครอบครัวถือเป็นปราการด่านแรกที่ช่วยสร้างเสริมชีวิตให้แต่ละคนดำเนินชีวิตในสังคมได้ เปรียบเสมือนวัคซีนที่คอยป้องกันโรคร้าย แต่ในสภาพปัจจุบันนั้น ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ประกอบกับสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ส่งผลต่อการดำรงของครอบครัวในแต่ละบ้าน สภาพครอบครัวจึงเปลี่ยนไป
เมื่อวันที่ 10 กันยายน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจำปี 2553 ที่โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ เปิดเวทีระดมความคิดเห็นด้านการพัฒนาศักยภาพ การเฝ้าระวัง การป้องกันแก้ไขปัญหาครอบครัว เพื่อรวบรวมข้อมูลในการจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านครอบครัว
สำหรับในปี 2553 นี้ กำหนดให้มีการจัดสมัชชาครอบครัวใน 2 ระดับ คือ ระดับจังหวัดและระดับชาติ โดยสมัชชาครอบครัวระดับจังหวัดได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน 2553 ใน 75 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร โดยประเด็นการประชุมเป็นการเปิดกว้างตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่หลากหลาย i
นายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า การจัดสมัชชาดังกล่าว กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้รับการสนับสนุนด้านข้อมูลวิชาการจากมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว แผนงานสุขภาวะครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย และผู้ทรงคุณวุฒิด้านครอบครัว คณาจารย์จากสถาบันการศึกษา เพื่อจัดประชุมและจัดทำข้อสรุปมติการประชุมสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจำปี 2553 นำเสนอต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวแห่งชาติ
ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีข้อสรุปนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 1.ขอให้รัฐสนับสนุนให้ภาคประชาชนและภาคเอกชน จัดตั้งเครือข่ายครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวในระดับชุมชน เพื่อให้ครอบครัวเกิดการรวมกลุ่มเรียนรู้ช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน 2..ขอให้รัฐร่วมกันผลักดันและส่งเสริมความเข้มแข็งให้ “ ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ” ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้มีหน่วยงานกำกับดูแลโดยตรง รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือระหว่างเครือข่ายผู้ปกครองให้เข้ามาเป็นผู้รับผิดชอบหลักร่วมกับโรงเรียน ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรง และรัฐต้องปรับเกณฑ์การประเมินสถานศึกษาและครู
3.รัฐพึงสนับสนุนต่อยอดศูนย์เรียนรู้และพัฒนาเด็กพิการ โดยให้มีศูนย์ดังกล่าวเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร และส่งเสริมให้กองทุนสวัสดิการชุมชน หรือกองทุนต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในชุมชน ให้ความช่วยเหลือครอบครัวที่มีเด็กพิการ 4.ขอให้รัฐกำหนดและประกาศใช้เกณฑ์สิทธิความปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับเด็ก และจัดให้มีระบบการรายงาน พื้นที่(จังหวัดและตำบล)ที่มีการละเมิดเกณฑ์สิทธิความปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับเด็กอันส่งผลให้เด็กเสียชีวิตจากการบาดเจ็บรุนแรง และจัดให้มีศูนย์เด็กและเยาวชนหลังเลิกเรียน และ 5.ขอให้คณะกรรมการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ และกระทรวงวัฒนธรรมสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาสื่อเพื่อสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวให้มีปริมาณมากขึ้น โดยในระยะเร่งด่วนให้มีสัดส่วนรายการเพื่อสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของช่วงเวลาออกอากาศทั้งหมด
นางสาววิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ นักวิชาการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า แนวโน้มการกระทำความรุนแรงของเด็กจะมีรูปแบบที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น รวมทั้งอายุเฉลี่ยของเด็กที่กระทำความรุนแรงจะน้อยลง อยู่ในช่วงอายุ 12-18 ปี และจากการวิจัยเรื่อง “มาเฟียเด็ก” ในพื้นที่ กทม. โดยนิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า เด็กนักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมเป็นมาเฟียถึง 18% โดยรูปแบบของความรุนแรงก็จะมีทั้งทางร่างกาย รีดไถเงิน เสพและค้ายาเสพติด รวมทั้งการขายบริการทางเพศ ซึ่งความรุนแรงของเด็กที่กระทำกันนั้นปัจจุบันพบว่า เด็กระดับประถมศึกษาก็มีการรีดไถเงินเพื่อคุ้มครองไม่ให้ถูกรังแก ซึ่งแนวทางแก้ไขคือ การพัฒนากลไกการมีส่วนร่วมของครอบครัว และสถาบันการศึกษาควรให้ความสำคัญกับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
ด้านนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การให้ความสำคัญของสถาบันครอบครัวมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นเกราะป้องกันปัญหานานาชนิด และรัฐบาลเองก็เล็งเห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัวมาโดยตลอด ทั้งนี้ ยอมรับว่าภาวะการณ์ในปัจจุบัน สังคมได้รับผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเด็กในครอบครัว ผู้สูงอายุ เป็นต้น ดังนั้น ข้อเสนอ 5 ข้อ ของทางสมัชชาครอบครัวฯ นั้น รัฐบาลจะรับไปร่วมพิจารณากับคณะกรรมการที่ทำงานในด้านนี้เพื่อกำหนดแนวทางที่เหมาะสมต่อไป
นอกจากนี้หนึ่งในข้อเสนอระบุชัดเจนว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากสื่อ ซึ่งในเรื่องนี้รัฐบาลจะต้องนำไปประกอบกับแผนการพัฒนาปฏิรูปสื่อต่อไปด้วย ส่วนทิศทางในอนาคตนั้น รัฐบาลกำลังเร่งผลักดันการสร้างสวัสดิการให้แก่สมาชิกครอบครัวได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยการพัฒนาระบบสวัสดิการต้องเป็นไปอย่างยั่งยืน
จะเห็นได้ว่าเมื่อรัฐบาล สังคมทุกภาคส่วนให้ความสำคัญต่อสถาบันครอบครัวอย่างจริงใจแล้ว คงไม่เป็นเรื่องยากที่ทุกฝ่ายจะจับมือกันเพื่อร่วมขับเคลื่อนการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากครอบครัวให้เป็นรูปธรรมต่อไป แต่สิ่งสำคัญคงไม่ได้อยู่ที่เพียงปัจจัยภายนอกเท่านั้น แต่ครอบครัวเองถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่จะทำให้สังคมเป็นสังคมแห่งความสุข สังคมแห่งการพัฒนาต่อไป
ที่มา:Team Content www.thaihealth.or.th
Update:13-09-53
อัพเดทเนื้อหา : คีตฌาณ์ ลอยเลิศ