สปสช.เตรียมขยายสิทธิดูแลสุขภาพผู้สูงวัยเท่าเทียมทุกกองทุน
เนื่องจากสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงต้องเตรียมพร้อมในแง่การดูแลสุขภาพ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโมเดลจากประเทศพัฒนาต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น เพราะเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากและมีการดูแลดี อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจะเน้นการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่คือ ไม่เน้นสร้างบ้านพักผู้สูงอายุ เพื่อให้ไปอยู่ยามชราโดยปราศจากลูกหลานดูแล แต่จะเน้นพัฒนาชุมชน ให้คนในชุมชนช่วยดูแลกัน
กรณีที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เตรียมขยายนโยบายบูรณาการ 3 กองทุนสุขภาพภาครัฐ ทั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนประกันสังคม และกองทุนสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการไปยังกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง เบื้องต้นมุ่งไปที่โรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม ก่อนจะขยายไปยังมะเร็งชนิดอื่นๆ อีกรวมประมาณ 4-5 ชนิด คาดจะเห็นผลเป็นรูปธรรมช่วงเดือนเมษายน 2556
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้จะมีการหารือร่วมกับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) และกรมบัญชีกลาง ถึงความร่วมมือในการขยายสิทธิบูรณาการ 3 กองทุนสุขภาพภาครัฐ กรณีรักษาผู้ป่วยมะเร็ง โดยในเพศหญิงจะเน้นไปที่มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม ส่วนในเพศชายจะเน้นไปที่มะเร็งปอด มะเร็งตับ และมะเร็งลำไส้ มะเร็งเหล่านี้เป็นชนิดที่พบได้บ่อย แต่ปัญหาคือในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูง ตรงนี้ต้องมาหารือกันว่าจะทำอย่างไรให้อัตราค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเท่ากัน เพราะหาก สปสช.ต้องเป็นเคลียริ่งเฮ้าส์ (clearing house) หรือเป็นหน่วยเบิกจ่ายกลาง โดยต้องสำรองจ่ายค่ารักษาให้ผู้ป่วยก่อน และไปเรียกเก็บเงินจากกองทุนเจ้าของสิทธิภายหลัง กรณีดังกล่าวทำให้ต้องมีอัตราค่าเบิกจ่ายเท่ากันหมด เรื่องนี้ต้องคุยรายละเอียดด้วย
นพ.วินัยกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยอื่นๆ รวมไปถึงการดูแลผู้สูงอายุ เนื่องจากสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงต้องเตรียมพร้อมในแง่การดูแลสุขภาพ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโมเดลจากประเทศพัฒนาต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น เพราะเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากและมีการดูแลดี อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจะเน้นการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่คือ ไม่เน้นสร้างบ้านพักผู้สูงอายุ เพื่อให้ไปอยู่ยามชราโดยปราศจากลูกหลานดูแล แต่จะเน้นพัฒนาชุมชน ให้คนในชุมชนช่วยดูแลกัน อาจเป็นอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน (อสม.) ร่วมกับท้องถิ่นหรืออาจเป็นเยาวชนลงพื้นที่ดูแลในส่วนนี้ โดยต้องมีค่าใช้จ่ายให้คนดูแลในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเรียกเก็บเบี้ยประกันสุขภาพวัยชรา โดยอาจเริ่มเก็บที่อายุ 40 ปี จนถึง 60 ปี ก็หยุดและระบบจะดูแลคนกลุ่มนี้เอง รายละเอียดจะต้องหารือร่วมกับอีก 2 กองทุนเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเก็บเบี้ยประกันสุขภาพวัยชราจำเป็นต้องตั้งเป็นกองทุนหรือไม่ เลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า หากจะตั้งเป็นกองทุน จำเป็นต้องปรับแก้กฎหมายหรือออกเป็นกฎหมายเฉพาะในการเรียกเก็บเบี้ยดังกล่าว แต่ตรงนี้ต้องหารืออีกครั้ง เพราะยังไม่แน่ชัดว่าจำเป็นต้องตั้งเป็นกองทุนหรือจะเป็นเพียงการเพิ่มเติมจากสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลพื้นฐานที่ทุกคนได้รับอยู่แล้ว คาดว่าจะมีความชัดเจนภายหลังศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นในกลางเดือนมกราคมนี้
“จริงๆ แล้วนโยบายบูรณาการนั้น นอกจากจะให้ประชาชนทั้ง 3 กองทุน ได้เข้าถึงการบริการรักษาอย่างเท่าเทียมแล้ว ยังเป็นการสร้างระบบการเบิกจ่ายของ 3 กองทุนให้มาอยู่ในที่เดียวกัน โดยเฉพาะในกลุ่มโรคราคาแพง และเข้าถึงยาก ทำให้ได้ฐานข้อมูลระดับประเทศ และรู้ว่าแต่ละกองทุนมีปัญหาอะไร เพื่อจะได้หาทางแก้ไขที่สำคัญยังช่วยควบคุมค่าใช้จ่าย การควบคุมทางการเงิน จะต้องไม่กระทบการเข้าถึงบริการ โดยหลักคือ การบูรณาการ 3 กองทุน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือมาตรฐานการรักษาโรคเอดส์และไต ที่ผ่านมา รวมทั้งการจะขยายไปยังกลุ่มโรคมะเร็งนั้น ทั้งหมดจะต้องคำนึงถึงประชาชนให้ได้รับการบริการอย่างเสมอภาคทุกคน” เลขาธิการ สปสช.กล่าว
ที่มา :หนังสือพิมพ์มติชน