สธ. เตือนภัยโรคมือเท้าปากระบาด
แนะปชช.เฝ้าระวังโดยเฉพาะเด็กเล็ก
กระทรวงสาธารณสุข เตือนภัยโรคมือเท้าปาก หลังพบรอบ 8 เดือนแรกของปีนี้ มีผู้ป่วยเกือบ 5,000 รายแล้ว แนะประชาชนเฝ้าระวังโดยเฉพาะในสถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล ที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เพราะเป็นกลุ่มผู้ป่วยสูงสุด
นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการเฝ้าระวังสถานการณ์การโรคมือเท้าปาก ที่มักระบาดในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี สำนักระบาดวิทยารายงานว่าในปี 2552 ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือน สิงหาคม พบผู้ป่วยทั่วประเทศแล้ว 4,859 ราย เสียชีวิต 3 ราย โดยพบผู้ป่วยมากที่สุดในภาคกลาง 2,093 ราย มากที่สุดที่จังหวัดสมุทรปราการ 242 ราย เสียชีวิต 1 รายที่จังหวัดนครปฐม รองลงมาภาคเหนือ 1,457 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 884 ราย และ ภาคใต้ 425 ราย ทั้งนี้กลุ่มที่ป่วยมากที่สุด ร้อยละ 92 คือเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เนื่องจากยังไม่มีภูมิต้านทานโรค ดังนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขจึงได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ สำนักงานควบคุมป้องกันโรคทุกเขต เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด
หากพบผู้ป่วยจะส่งทีมสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว เข้าควบคุมโรคทันทีเพื่อไม่ให้แพร่ระบาดในวงกว้าง และให้ทุกจังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการปฏิบัติตัวป้องกันโรค พร้อมได้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังกระทรวงศึกษาธิการ กทม. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ร่วมเฝ้าระวัง ป้องกันในศูนย์เด็กเล็ก สถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมศึกษาทั่วประเทศ โดยดูแลความสะอาดสถานที่ อุปกรณ์เครื่องใช้ของเล่นเด็ก เฝ้าระวังเด็กโดยตรวจเด็กก่อนเข้าห้องเรียน
สำหรับโรคมือเท้าปาก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่มเอ็นเทอโรไวรัส (enteroviruses) ซึ่งเป็นเชื้อที่จะเพิ่มขยายจำนวนในลำไส้ของคน ที่พบในไทยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อค็อกซากีไวรัส เอ 1 และเอ 16 (coxsackievirus a1, a16) อาการไม่ค่อยรุนแรง จะหายได้เองภายใน 7-10 วัน ส่วนชนิดที่รุนแรงคือเอ็นเทอโรไวรัส 71 ( ev71) ซึ่งอาจทำให้มีอาการสมองอักเสบ ทำให้อาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ในไทยยังพบน้อย การติดต่อของโรคติดต่อโดยการสัมผัสเชื้อที่ปะปนอยู่ในน้ำมูกน้ำลาย และอุจจาระของผู้ป่วย หรือติดต่อทางการไอจามรดกัน ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ส่วนอาการของโรคคือผู้ป่วยจะมีไข้สูง มีตุ่มแผลในปาก และมีตุ่มพองสีขาวรอบๆ แดง ตามด้านข้างของนิ้วมือ นิ้วเท้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส้นเท้า หากพบผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าว ขอให้พาไปพบแพทย์ทันที
ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
update:14-09-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่