สถานการณ์ปัญหาแรงงานเด็ก
ใครคือแรงงานเด็ก
1. อนุสัญญาว่าด้วยอายุขั้นต่ำ (หมายเลขที่ 138) องค์การแรงงานระหว่างประเทศได้กำหนดอายุขั้นต่ำของลูกจ้างไว้เท่ากับอายุที่จบการศึกษาภาคบังคับ หรือไม่ต่ำกว่า 15 ปี สำหรับงานทั่วไป ไม่ต่ำกว่า 13 ปี สำหรับงานเบา และไม่ต่ำกว่า 18 ปี สำหรับงานอันตราย แต่สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนานั้น ได้กำหนดอายุขั้นต่ำสำหรับงานทั่วไปเป็น 14 ปี งานเบาเป็น 12 – 14 ปี และงานอันตรายเป็น 16 ปี
2. อนุสัญญาว่าด้วยแรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุด (หมายเลขที่ 182) ได้กำหนดว่า เด็กหมายถึง บุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปี
3. สำหรับประเทศไทย พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ซึ่งไม่ครอบคลุมลูกจ้างภาคเกษตรกรรม และลูกจ้างที่รับงานไปทำที่บ้าน ได้กำหนดอายุขั้นต่ำของลูกจ้างคือ 15 ปี แรงงานเด็กตามกฎหมายคือ ลูกจ้างที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์
ประเด็นสำคัญของโลกเกี่ยวกับปัญหาแรงงานเด็กที่พบทั่วไปคือ
(1) การบาดเจ็บและเจ็บป่วยจากการทำงาน อัตราการบาดเจ็บและเจ็บป่วยจากการทำงานของแรงงานเด็กสูงถึง ร้อยละ 20 ทำให้ต้องหยุดงานชั่วคราว หรือเลิกทำงาน
(2) การทำงานยาวนานมาก เด็กหลายคนต้องทำงานหลายชั่วโมงต่อวัน บางคนต้องทำงานถึง 9 ชั่วโมงต่อวัน สัปดาห์ละ 7 วัน โดยไม่มีวันหยุดพัก โดยทั่วไปพบว่า เด็กหญิงต้องทำงานเป็นเวลายาวนานกว่าชาย และได้รับค่าจ้างน้อยกว่าพี่ชายหรือน้องชาย ทั้งที่ทำงานอย่างเดียวกัน
(3) แรงงานเด็กในชนบทมีมากกว่าในเขตเมืองประมาณ 2 เท่า เด็กในชนบทโดยเฉพาะเด็กหญิงมีแนวโน้มที่จะเริ่มทำงานตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 10 ปี
(4) มีแรงงานเด็กถึง 4 ใน 5 คน ที่ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ส่วนแรงงานเด็กที่ได้รับค่าจ้างก็จะได้รับค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างทั่วไป และมักต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมายด้วย
สถานการณ์แรงงานเด็กของประเทศไทย
1. การกระจายของแรงงานเด็ก
(1) แรงงานเด็กในสถานประกอบการ แรงงานเด็กที่ทำงานในสถานประกอบการส่วนใหญ่ จะอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รองลงไปคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ โดยใน พ.ศ.2541 มีแรงงานเด็กในสถานประกอบการทั่วประเทศ 78,836 คน ซึ่งช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ.2538 ถึง พ.ศ. 2541 แรงงานเด็กในสถานประกอบการในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคต่างๆ มีแนวโน้มลดลง (ตารางที่ 1) แต่ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม ณ เดือนธันวาคม 2541 แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันแรงงานเด็กที่ทำงานในสถานประกอบการ อายุตั้งแต่ 15 – 17 ปี มีประมาณ 1.25 แสนคน ส่วนใหญ่ทำงานกระจุกตัวอยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ในกิจการตัดเย็บเสื้อผ้า เย็บกระเป๋า รองเท้า เจียระไนพลอย ทำเครื่องประดับ ซ่อมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง และร้านอาหาร จากการตรวจแรงงานเด็กของเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พบว่า แรงงานเด็กที่ทำงานในสถานประกอบการ ร้อยละ 85 จะมีอายุระหว่าง 15 – 17 ปี สำหรับสถานประกอบการขนาดใหญ่ไม่พบว่า มีการใช้แรงงานเด็ก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกระบวนการผลิต และการใช้เทคโนโลยีการผลิต จำเป็นต้องใช้แรงงานที่มีวุฒิภาวะ และสรีระทางร่างกายที่แตกต่างจากเด็ก
(2) แรงงานนอกขอบข่ายประกันสังคม คาดว่า มีแรงงานเด็กนอกข่ายประกันสังคมอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน เช่น เด็กที่ทำงานในสถานประกอบกิจการที่มีจำนวนลูกจ้างน้อยกว่า 10 คน การทำงานเกษตรกรรม การทำงานเป็นลูกจ้างตามบ้าน และงานนอกระบบประเภทอื่นๆ
2. การใช้แรงงานเด็กในประเทศไทย
สถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมีผลกระทบต่อการใช้แรงงานเด็ก โดยพบว่า แรงงานเด็กในสถานประกอบการภาคอุตสาหกรรมลดลง แต่คาดว่า มีแรงงานเด็กในภาคเกษตรกรรมและบริการเพิ่มขึ้น และกระจายตัวสู่ชนบทมากขึ้น ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้แรงงานเด็กในประเทศไทยที่สำคัญคือ
– แรงกดดันจากประชาคมโลกในเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งเรียกร้องให้ยุติการใช้แรงงานเด็กอย่างไม่เป็นธรรม มีผลกระทบต่อทั้งด้านการค้าระหว่างประเทศ และภาพลักษณ์ของประเทศ
– ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ทำให้ผู้ประกอบการพยายามลดต้นทุน โดยการจ้างงานแบบเหมาช่วง และให้รับงานไปทำที่บ้าน ซึ่งอาจทำให้มีการใช้แรงงานเด็กมากขึ้น ในขณะที่ยังไม่มีมาตรการและกฎหมายในการคุ้มครองอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ การที่เศรษฐกิจถดถอยยังมีผลกระทบต่อรายได้ของครอบครัว ทำให้เด็กต้องออกจากระบบการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น
– มีการใช้แรงงานเด็กต่างชาติ ชาวพม่า เขมร และลาว ซึ่งเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ส่วนใหญ่จะเป็นลูกจ้างในสถานประกอบการขนาดเล็ก และงานรับใช้ตามบ้าน เด็กหญิงมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกชักนำเข้าสู่งานบริการทางเพศ
– สังคมส่วนใหญ่ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาแรงงานเด็กมากขึ้น การร่วมมือประสานงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ชุมชน ตลอดจนนายจ้างและลูกจ้างมีมากขึ้น
3. สภาพปัญหา ที่แรงงานเด็กประสบอยู่
กองแรงงานหญิงและเด็ก กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ประมวลภาพรวมปัญหาที่แรงงานเด็กประสบอยู่ได้ 6 ประการคือ
1. ปัญหาการใช้แรงงานเด็กอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งนายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
2. ปัญหาทุพโภชนาการ เด็กที่ทำงานมักจะอาศัยอยู่กับนายจ้าง และเนื่องจากเด็กมีระยะเวลาทำงานที่ยาวนานมีเวลาพักผ่อนน้อย อาหารที่นายจ้างจัดให้ส่วนใหญ่มักไม่มีคุณภาพ
3. ปัญหาสุขภาพอนามัย เด็กที่พักอาศัยอยู่กับนายจ้าง นายจ้างมักจะจัดอาหาร ที่พัก ตลอดทั้งสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทั้งที่ทำงาน และที่พักไม่ถูกสุขลักษณะ
4. ปัญหาการประสบอันตรายจากการทำงาน
5. ปัญหาการขาดโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาอาชีพ เด็กที่ทำงานมักจะมีการศึกษาต่ำ การทำงานจะไม่ได้รับการศึกษาเพิ่มเติม
6. ปัญหาการปรับตัว เด็กที่ทำงานในช่วงวัยที่กำลังเจริญเติบโตเป็นวัยรุ่น เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและอารมณ์ การที่เด็กต้องทำงานอยู่ในสถานที่ไม่เอื้ออำนวย ไม่ถูกสุขลักษณะ ห่างไกลครอบครัว ญาติพี่น้อง ย่อมทำให้การพัฒนาการของเด็กมีปัญหา
4. การป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานเด็ก
ปัญหาแรงงานเด็ก เป็นปัญหาสังคมที่มีผลกระทบมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ที่ขาดความสมดุล การป้องกันและแก้ไข จึงต้องมีมาตรการที่เป็นระบบและครบวงจร ตั้งแต่การรณรงค์มิให้เด็กต้องเข้าสู่ตลาดแรงงานก่อนวัยอันควร การสร้างโอกาส และทางเลือกในการศึกษา และการประกอบอาชีพแก่แรงงานเด็ก การป้องกันมิให้ถูกหลอกลวง จนถึงการคุ้มครองมิให้มีการใช้แรงงานเด็กที่ไม่เป็นธรรม อันเป็นการดำเนินมาตรการทั้งในเชิงป้องกัน คุ้มครอง ส่งเสริม และพัฒนา และเน้นการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ภาครัฐและเอกชน ตลอดจนดึงเอาชุมชนในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา
5. สาระสำคัญของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานเด็ก พ.ศ.2541
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความปลอดภัยของแรงงานเด็ก
1. งานที่ไม่อนุญาตให้เด็กทำ (มาตรา 49)
(1) งานหลอม เป่า หล่อ หรือรีดโลหะ
(2) งานปั๊มโลหะ
(3) งานเกี่ยวกับความร้อน ความเย็น ความสั่นสะเทือน เสียง และแสงที่มีระดับแตกต่างจากปกติ อันอาจเป็นอันตราย ดังต่อไปนี้
– งานซึ่งทำในที่ที่มีอุณหภูมิในสภาวะแวดล้อมการทำงานสูงกว่า 45 องศาเซลเซียส
– งานซึ่งทำในห้องเย็นในอุตสาหกรรมการผลิต หรือการถนอมอาหาร โดยการทำเยือกแข็ง
– งานที่ใช้เครื่องเจาะ กระแทก
– งานที่มีระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับติดต่อกันเกิน 85 เดซิเบล (เอ) ในการทำงานวันละ 8 ชั่วโมง
(4) งานที่เกี่ยวกับสารเคมีที่เป็นอันตรายดังนี้
– งานผลิตหรือขนส่งสารก่อมะเร็ง ตามรายชื่อในบัญชีท้ายกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2541)
– งานที่เกี่ยวข้องกับสารไซยาไนด์
(5) งานเกี่ยวกับจุลชีวันที่เป็นพิษ ซึ่งอาจเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย รา หรือเชื้ออื่นดังต่อไปนี้
– งานที่ทำในห้องปฏิบัติการชันสูตรโรค
– งานดูแลผู้ป่วยด้วยโรคติดต่อตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
– งานทำความสะอาดเครื่องใช้ และเครื่องนุ่งห่มผู้ป่วยในสถานพยาบาล
– งานเก็บ ขน กำจัดมูลฝอย หรือสิ่งปฏิกูลในสถานพยาบาล
(6) งานเกี่ยวกับวัตถุมีพิษ วัตถุระเบิด หรือวัตถุไวไฟ เว้นแต่งานในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
– งานผลิตหรือขนส่งพลุ ดอกไม้ไฟ หรือวัตถุระเบิดอื่นๆ
– งานสำรวจ ขุดเจาะ กลั่น บรรจุ หรือขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง หรือก๊าซ เว้นแต่งานในสถานีบริการน้ำมันเชื้อ เพลิง
(7) งานขับหรือบังคับรถยก หรือปั้นจั่นที่ใช้พลังงานเครื่องยนต์หรือไฟฟ้า ไม่ว่าการขับ หรือบังคับจะกระทำในลักษณะใด
(8) งานใช้เลื่อยเดินด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือเครื่องยนต์
(9) งานที่ต้องทำใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ อุโมงค์ หรือปล่องในภูเขา
(10) งานเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสีทุกชนิด
(11) งานทำความสะอาดเครื่องจักร หรือเครื่องยนต์ขณะที่เครื่องจักรหรือเครื่องยนต์กำลังทำงาน
(12) งานที่ต้องทำบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดิน ตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป
(13) งานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. สถานที่ห้ามเด็กทำงาน (มาตรา 50)
(1) โรงฆ่าสัตว์
(2) สถานที่เล่นการพนัน
(3) สถานเต้นรำ รำวง หรือรองเง็ง
(4) สถานที่ที่มีอาหาร สุรา น้ำชา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่าย และบริการโดยมีผู้บำเรอสำหรับปรนนิบัติลูกค้า หรือโดยมีที่สำหรับพักผ่อน หลับนอนหรือมีบริการนวดให้ลูกค้า
(5) สถานที่อื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
3. เวลาทำงาน – เวลาพัก
แรงงานเด็กต้องมีเวลาพักวันหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง ติดต่อกันหลังจากทำงาน มาแล้วไม่เกิน 4 ชั่วโมง แต่ใน 4 ชั่วโมงนั้น ต้องมีเวลาพัก ตามที่นายจ้างกำหนด (มาตรา 46)
– ห้ามนายจ้างใช้แรงงานเด็กทำงานระหว่างเวลา 22.00 – 06.00 น. เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย (มาตรา 47)
– เด็กซึ่งเป็นผู้แสดงภาพยนตร์ ละคร หรือการแสดงอย่างอื่นที่คล้ายคลึงกันอาจทำงานในเวลา 22.00 – 06.00 น. ได้ แต่นายจ้างต้องจัดให้ได้พักผ่อนตามสมควร
– ห้ามนายจ้างใช้แรงงานเด็กทำงานล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุด (มาตรา 48)
4. การพัฒนาแรงงานเด็ก (มาตรา 52) เด็กมีสิทธิลาเข้าประชุม สัมมนา รับการอบรม รับการฝึก หรือลาเพื่อการอื่น ซึ่งจัดโดยหน่วยงานที่อธิบดีเห็นชอบ โดยได้รับค่าจ้าง ตลอดระยะเวลาที่ลาปีละไม่เกิน 30 วัน
5. การล่วงเกินทางเพศ (มาตรา 16) ห้ามนายจ้าง หัวหน้างาน ผู้ควบคุมงาน ผู้ตรวจงาน กระทำการล่วงเกินทางเพศต่อแรงงานหญิง
ที่มา : ดร.ทวีสุข พันธุ์เพ็ง
Update 03-05-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่