ศจย.ร่วมแก้ปัญหายาสูบ เน้นเพิ่มการบำบัด

หลังพบกว่าครึ่งของนักสูบไทยมวนบุหรี่สูบเอง

 

ศจย.ร่วมแก้ปัญหายาสูบ เน้นเพิ่มการบำบัด

 

ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ร่วมผลักดันนโยบายแก้ปัญหายาสูบ เข้าที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 เร่งรัฐให้ความสำคัญ ข้อตกลงมาตรา 5.3 ออกเป็นกฎระเบียบ ให้ส่วนราชการปฏิบัติ เพิ่มการบำบัดโรคติดยาสูบ  และชี้ควรปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษี หลังพบคนไทยกว่าครึ่งสูบบุหรี่มวนเอง

 

ศจย.ร่วมแก้ปัญหายาสูบ เน้นเพิ่มการบำบัด

 

ดร.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ในการประชุมสมัชชาสุขภาพครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 15-17 ธ.ค.นี้ การควบคุมปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพด้านยาสูบ เป็นหนึ่งในประเด็นที่ คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) รับข้อเสนอให้เป็น 1 ใน 9 ประเด็นของการประชุม โดยคณะทำงานด้านวิชาการเฉพาะประเด็น ได้รวบรวมข้อเสนอเชิงนโยบายและรับฟังความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง เป็นต้น เพื่อให้ทุกฝ่ายได้มีมติและมีส่วนร่วมในมติดังกล่าว จนได้ข้อสรุปพร้อมที่จะนำเสนอในที่ประชุมครั้งนี้              

 

ดร.ศิริวรรณ กล่าวว่า ข้อสรุปที่จะนำเสนอต่อที่ประชุม คือ การขอให้รัฐปฏิบัติตามแนวทางของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก โดยเฉพาะมาตรา 5.3 ที่ประเทศไทยได้มีการลงนามไว้ ซึ่งมีสาระสำคัญ เพื่อป้องกันการแทรกแซงนโยบายควบคุมยาสูบของรัฐจากอุตสาหกรรมยาสูบ ซึ่งต้องมีการกำหนดเป็นนโยบาย หรือประกาศกฎระเบียบ หรือกฎหมาย เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยาสูบ เช่น ข้อกำหนดว่า เจ้าหน้าที่รัฐต้องไม่มีการติดต่อกับบริษัทบุหรี่ ยกเว้นเพื่อประโยชน์ในการบังคับใช้กฎหมาย และต้องมีรายงานโปร่งใส นอกจากนี้ หน่วยงานรัฐไม่ร่วมกิจกรรมใดๆ กับบริษัทบุหรี่ ไม่รับของขวัญ การบริการ ช่วยเหลือ ห้ามบริจาคสนับสนุนพรรคการเมือง ห้ามสนับสนุนและหรือร่วมกิจกรรมในโครงการที่เรียกว่า เพื่อสังคมของบริษัทบุหรี่ เป็นต้น

 

 ศจย.ร่วมแก้ปัญหายาสูบ เน้นเพิ่มการบำบัด

 

ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปฏิบัติตามมาตรา 5.3 อย่างดี ซึ่งนอกจากภาครัฐควรปฏิบัติตามกรอบข้อตกลงแล้ว ยังต้องมีการปรับโครงสร้างภาษียาสูบ เก็บภาษียาสูบพันธุ์พื้นเมือง การให้หลักประกันการเข้าถึงการบำบัดโรคติดยาสูบ และมีการซักประวัติการสูบบุหรี่ในการจัดทำเวชระเบียนผู้ป่วยทุกราย เพื่อให้ได้รับคำปรึกษา และรักษาอย่างถูกต้อง ดร.ศิริวรรณ กล่าว

 

ดร.ศิริวรรณ กล่าวต่อว่า จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2550  พบว่า ผู้สูบบุหรี่อายุ 15  ปีขึ้นไป 10.9 ล้านคน ประมาณกึ่งหนึ่ง (46.19%) สูบบุหรี่มวนเองอย่างเดียว และ 9.19% ของผู้สูบบุหรี่ สูบทั้งบุหรี่มวนเองและบุหรี่ซอง เนื่องจากการขึ้นภาษีในช่วงนั้นๆ โดยขณะนี้ บุหรี่มวนเองมีอัตราภาษีเพียง 0.1%  ในขณะที่บุหรี่ซองมีการเพิ่มอัตราภาษีสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ จนมีอัตราภาษีอยู่ที่ 85% จากราคา ณ โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจำเป็นต้องมีการทบทวนและปรับนโยบายภาษีให้สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน

 

 

 

 

ที่มา : ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ

 

update : 14-12-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code