วิถีรากหญ้าสร้างไทยเข้มแข็ง
“อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ”
ถึงเทศกาลตรุษจีนทีไร มักจะมีตัวดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจออกมาเป็นข่าวคราวเกาะกระแสแจกเงินแต๊ะเอีย หรือั่งเป่าเสมอ
ประมาณว่า “หั่งเช้ง” (เศรษฐกิจ) ดี เงินแต๊ะเอียในซองอั่งเปาก็จะหนา แต่ถ้าแบงก์สีม่วงสีน้ำตาลมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นสีแดงหรือสีเขียวล่ะก็ หมายความว่า “บ่หั่งเช้ง” คือเศรษฐกิจย่ำแย่จนซองแดงแบนแต๊ดแต๋นั่นเอง
แต่ใช่ว่า เรื่องราวของอั่งเปา หรือดัชนีเศรษฐกิจในช่วงวันปีใหม่จีน จะส่งผลกระทบให้กับสังคมไทยทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้นถึงแม้คนไทยเชื่อสายจีนจะมีเป็นจำนวนมาก จนเดี๋ยวนี้แยกไม่ออกระหว่างไทยแท้ผสมก็เถอะ
อย่างน้อยที่สุด ชุมชนระดับรากหญ้า…หรือจะเป็นรากแก้วแล้วแต่ใครจะบัญญัติถนัดเรียกขาน
พวกเขาที่มีวิถีชีวิตพึ่งพาตนเอง ไม่สะทกสะท้านแน่นอน
ผมฟังธง คอนเฟิร์มว่า …หั่งเช้งเอย ดัชนีในตลาดหุ้นเอยวิกฤตซับไพรม์เอย สถานการณ์ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดและปัจจัยส่งผลต่อตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจทั้งหลาย รับรองว่าไม่ส่งผลระคายต่อความเป็นอยู่ของชุมชนรากหญ้าบางแห่งเลยนั้น ก็เพราะมี “ข้อมูล” สนับสนุนครับ
ข้อมูลที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้?
ข้อมูลที่หลายคนอาจจะมองข้าม!
ข้อมูลที่หลายคนนึกไม่ถึง?!?
ข้อมูลดังว่านี้ ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้น และสบายใจว่า ตราบเท่าที่คนไทยตั้งใจ มีความร่วมมือร่วมใจ และปรารถนาที่จะเห็นการพัฒนาในชุมชนหรือสังคมของตัวเอง พวกเราสามารถทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องยืมมือฝรั่งมังค่าเลย
ข้อมูลดังกล่าวถูกเปิดเผยโดย นายกฤษฎา อุทยานิน รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ในเวทีประชุมปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะของคนไทย ครั้งที่ 27 จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นั่นเอง
รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้นำเสนอ “แผนแม่บทการเงินระดับฐานราก” ซึ่งมุ่งเน้นการเข้าไปเพิ่มขีดความสามารถช่วยชุมชนให้เข้มแข็ง ขณะนี้รอรัฐบาลแสดงพลังขับเคลื่อนเพื่อให้การใช้เงินงบประมาณในการพัฒนาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและถูกทิศถูกทาง เหมือนกับร้องเพลงประสานเสียง หรือเดินสวนสนามอย่างพร้อมเพรียงกันไม่แตกแถว ต่างคนต่างเดินเฉกเช่นที่แล้วๆ มา
สำหรับผมแล้ว ประเด็นที่น่าสนใจไม่ได้อยู่ที่วัตถุประสงค์ของการนำเสนอแผนแม่บทการเงินระดับฐานราก
การยืนยันว่า แผนนี้ทุกพรรคการเมืองเห็นด้วย และอยากขับเคลื่อนให้เห็นเป็นจริง หรือเหนืออื่นใดทางสำนักงานเศรษฐกิจและการคลังระบุว่า แผนดังว่าเป็นแผนแรกในโลกก็ตาม
ผมว่าทั้งหลายทั้งปวงของแผนแม่บทนี้ ตัวเลขเงินกู้ตัวเลขจีดีพี ไม่น่าสนใจเท่ากับ..
ความเป็นมาและแรงบันดาลใจ..กว่าจะเป็นแผนแม่บทการเงินระดับฐานราก
รองกฤษฎาเล่าว่า เพราะเกิดสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เรียกว่า “ต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2539-2540 สถาบันการเงินหลายแห่งล่มสลาย เกิดหนี้สาธารณะก้อนโต ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีแผนแม่บททางการเงินการคลังลอกเลียนแบบประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างยุโรปและอเมริกา ทำให้เราต้องทบทวนปัญหา
จากวิกฤตต้มยำกุ้ง บรรดาผู้รับผิดชอบต่อฐานะทางการเงินการคลังของประเทศเกิดคำถามว่า เดินตามก้นฝรั่งไม่ได้ทำให้รอดพ้นจากปัญหาโดมิโนทางเศรษฐกิจเลย แล้วทำไมหนอ? ชาวบ้านตาสีตาสากลับไม่ได้รับผลกระทบวิกฤตดังกล่าวเลย หลายชุมชนสามารถอยู่ได้โดยไม่มีหนี้ ขณะที่มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่แทบจะเอาเนคไทแทนเชือกผูกคอตายหนีปัญหา
ความสงสัยกลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้ค้นหาคำตอบ แล้วสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่ต้องเกี่ยวข้องดูแลความมั่นคงทางการเงินการคลังของประเทศก็พบข้อเท็จจริงที่ว่า
ความอยู่รอดของชาวบ้านท่ามกลางวิกฤตต้มยำกุ้งมีแรงบันดาลใจจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องของการพึ่งพาตนเอง ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียงครับ
ชาวบ้านลองผิดลองถูก ลองทำลองเดินตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียงด้วยสองมือและสมองของตัวเอง โดยไม่รอความช่วยเหลือจากรัฐฝ่ายเดียว ไม่รอให้ใครเอาแผนแม่บทหรือ Mapping พิมพ์เขียวมายัดเยียด ให้เดินตาม
อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ล้วนๆ
ความสำเร็จเกิดขึ้นจนแม้กระทั่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังพาฝั่งมังค่ามานั่งคุยกับปราชญ์ชาวบ้าน ที่เป็นผู้นำชุมชนฝรั่งระดับมือวางแผนยังต้องยอมรับว่า ชาวบ้านมีความสามารถ และมีวิธีการพัฒนาตามสูตร หรือเป็นไปตามหลักวิชาการที่พึงเป็นพึงกระทำอยู่แล้ว ขาดแต่เพียงทำให้เป็นระบบ และเข้มแข็งเป็นจริงต่อเนื่องเท่านั้น
ความรู้จักถิ่นที่อยู่ของตัวเอง มองเห็นทรัพยากรในท้องถิ่นของตัวเอง และประเมินความสมรรถนะของชุมชนได้ ทำให้ชาวบ้านวางยุทธศาสตร์ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ แตกต่างจากแผนที่ หรือพิมพ์เขียวที่ส่วนกลางหรือรัฐหยิบยื่นมาให้โดยสิ้นเชิง
เราเห็นความล้มเหลวของโครงการพัฒนาท้องถิ่นมาเยอะแยะอาทิ การส่งเสริมเลี้ยงกบ ทดแทนการปลูกข้าว ทำสวนยางพารา เราต้องเสียงบประมาณสร้างบ่อเลี้ยงกบ เสร็จแล้วสุดท้ายบ่อเลี้ยงกบที่มีการสร้างภาพประชาสัมพันธ์ใหญ่โต กลายเป็นบ่อร้าง มีจอกแหนเศษสวะมาแทนที่กบ ด้วยเหตุผลที่เชื่อว่า แผนจากส่วนกลางจะได้ผลในทุกท้องถิ่น
มีตัวอย่างแล้วครับว่า วิถีชุมชนพอเพียงทำให้ชาวบ้านระดับรากหญ้ารอดพ้นจากวิกฤตปัญหาต้มยำกุ้ง จนเป็นแรงบันดาลใจให้กระทรวงการคลังร่างแผนแม่บทการเงินระดับฐานราก เพื่อมุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนากลุ่มพึ่งตนเองเป็นหลัก เพราะชาวบ้านมักจะไม่มีโอกาสหรือหาแหล่งเงินทุนได้ยาก ด้วยขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันตามระเบียบปฏิบัติของสถาบันการเงิน
ฉะนั้น..คนไทยจะเข้มแข็งได้ ก็ต้องเริ่มรู้จักพึ่งพาตนเองยืนอยู่บนขาของตัวเองด้วยความมั่นใจ..รับรองว่าความสุขยั่งยืนไม่หนีไปไหนแน่นอนครับ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Update 17-03-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์