วาเลนไทน์ “รักได้” ต้องมีสติ
เมื่อวัยรุ่นเสี่ยงติดเอดส์สูงขึ้น
รู้สึกว่าช่วงนี้ กลิ่นอายของความรักจะฟุ้งกระจายเป็นพิเศษ เพราะนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าใกล้เข้ามาแล้วสำหรับเทศกาลแห่งความรัก!! หรือวันวาเลนไทน์ ซึ่งวัยรุ่นส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับวันวันนี้เป็นพิเศษ โดยจะพยายามสรรหาสิ่งของต่างๆ ที่แทนความหมายของคำว่า “รัก” มาให้กันและกัน ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาตัวโต หมอนรูปหัวใจ ช็อคโกแลต สร้อยคอ แหวนหรือดอกไม้ช่อโต ซึ่งนั้นก็อาจถือว่าได้ไม่เสียอะไรมากมาย นอกจากเงินทอง แต่ในรายที่ยอม “เสียตัว” ให้กับคนรัก เพื่อเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์แล้วล่ะก็!! นั่นส่งผลให้มีปัญหาตามมาอีกมากมายใหญ่โตถึงระดับประเทศ…
เด็กไทยเป็นอะไรไปใหญ่แล้ว เมื่อเยาวชนถึงร้อยละ 32.4 มองว่าการอยู่ร่วมกันก่อนแต่งเป็นเรื่องปกติ การมีคู่นอนชั่วคราว รวมถึงการสวิงกลิ้ง การขายบริการทางเพศโดยเต็มใจกลับมีจำนวนมากขึ้น ทั้งยังพบเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่ตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมมีแนวโน้มที่สูงขึ้นตามมาด้วย
จากสถิติของสาธารณสุข พบว่า ในระหว่าง ปี พ.ศ. 2544- 2552 วัยรุ่นมีการตั้งครรภ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้นจาก 10% มาเป็น 40% และจากการสำรวจ ในช่วง 7 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2455-2550 พบว่าช่วงอายุมีแนวโน้มลดลงด้วย โดยพบว่าเด็กอายุ 10 ปีมีการตั้งครรภ์สูงถึง 60 คน และเด็กต่ำกว่า 15 ปี คลอดบุตรจำนวน 55,648 คน นี่เป็นเพียงตัวเลขที่สำรวจในโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่เป็นเรื่องหนักใจของทั้งคุณพ่อคุณแม่ของเด็กและตัวเด็กเอง เพราะโดยปกติแล้วเด็กวัยรุ่นในวัย 10 – 20 ปี ยังไม่พร้อมต่อการเป็นพ่อแม่คน ทั้งทางด้านเสถียรภาพทางการเงิน และ ภาวะทางอารมณ์ ตลอดจนการดูแลรับผิดชอบ
ปัญหายังไม่พอแค่นั้น เมื่อยังพบอีกว่าเด็กเยาวชนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน ติดเชื้อเอดส์เพิ่มมากขึ้น โดยพบ 5 ใน 1,000 คน ที่มาบริจาคเลือด มีการติดเชื้อเอชไอวี โดยวัยรุ่นในกรุงเทพฯ ที่อายุต่ำกว่า 25 ปี ติดเชื้อเอชไอวี ถึงร้อยละ 1.6 ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงมาก
และที่สำคัญองค์การสหประชาชาติด้านเอดส์ยังสำรวจพบว่าเยาวชนไทยใช้ถุงยาง เพียงร้อยละ 50 และสอบตกเรื่องความรู้การมีเพศสัมพันธ์อีกด้วย และนี่คือตัวการของปัญหาทั้งหมด เมื่อวัยรุ่นจำนวนมาก ไม่กล้าเอ่ยปาก ขอให้คนรักของตนใช้ถุงยางอนามัย อาจด้วยค่านิยมที่กลัวถูกว่า “เคย” มาแล้ว… หรือแม้แต่การไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายเพราะในสังคมไทย คนจำนวนมากเชื่อว่า ถุงยางอนามัยคือความไม่ไว้ใจ รวมถึงการเลือกที่จะกินยาคุมกำเนิด แทนการใส่ถุงยางอนามัย เพราะในกลุ่มวัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์มักจะกังวลกับการตั้งท้อง มากกว่าการติดเชื้อโรค เพราะการตั้งท้อง อาจทำให้หมดโอกาสทางการศึกษาได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความเชื่อแบบผิดๆด้วยกันทั้งสิ้น จึงส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา
และอีกหนึ่งตัวการสำคัญที่ทำให้เยาวชนไทย “ยอมเสียตัว” มากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจาก “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” เนื่องจากปัจจุบันพบว่ามีเยาวชนนักดื่มหน้าใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า เยาวชนไทยมีแนวโน้มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มมากขึ้น ทั้งดื่มประจำและชั่วคราว โดยปี 2539-2550 เยาวชนอายุ 15-19 ปี ดื่มสุราเป็นประจำ เพิ่มสูงขึ้นถึง 70 % และ ล่าสุด เยาวชน 15-24 ปี ดื่มสุราถึง 2.33 ล้านคน เป็นหญิง 0.2 ล้านคน เป็นชาย 2.13 ล้านคน โดยในแต่ละวันมีนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้น 700 คน/วัน และที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อพบเยาวชนที่ดื่มแอลกอฮอล์อายุน้อยสุดเพียง 5 ขวบ
ยิ่งในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์นี้ กลุ่มเยาวชนมักมีการจับกลุ่มสังสรรค์ด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลให้เกิดปัญหาตามมาไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ ความรุนแรง ทะเลาะวิวาท รวมไปถึงง่ายต่อการ “เสียตัว”
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้วันแห่งความรักในปีนี้เป็นวันแห่งการสูญเสีย เราทุกคนต้องร่วมมือกันโดยเฉพาะผู้ปกครอง จำเป็นต้องมีเวลาให้กับเด็ก พูดคุยหากิจกรรมทำร่วมกัน และที่สำคัญ ต้องให้ความรู้ ในเรื่องเพศศึกษากับเด็ก อย่าถือเป็นเรื่องน่าอายและปกปิดไว้ ลูกอาจเรียนรู้ในห้องเรียนมาบ้าง แต่คุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ใกล้ชิด และเข้าใจลูกมากกว่า จึงทำให้การสอน การพูดคุย ตลอดจนให้คำแนะนำต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า
ด้วยวิธีง่าย ๆ คือการถามว่าทราบเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์และการป้องกันมากน้อยขนาดไหน เมื่อคุณพ่อคุณแม่เข้าใจและรู้ว่าเด็กมีความเข้าใจขั้นไหนแล้ว ก็ให้เสริมความรู้ต่อจากที่เด็กมี บอกเด็กถึงข้อพึงระวัง การวางตัวกับเพศตรงข้าม รวมถึงฮอร์โมนและความต้องการทางเพศของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องน่าอาย และยากต่อการพูดคุย แต่คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยกับเด็กในเรื่องนี้โดยพยายามทำให้เป็นเรื่องปกติธรรมดา ค่อย ๆ พูดทีละเล็กทีละน้อย เพราะจะช่วยได้มากกว่าการอธิบายทุกอย่างในครั้งเดียว อีกทั้งยังทำให้เด็กรู้สึกชิน และไม่กระอักกระอ่วนใจอีกด้วย
ตามมาด้วย ควรสอนการคุมกำเนิด ให้แก่เด็ก ซึ่งปัจจุบันมีมากมายหลายวิธี แต่ละวิธีมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และเหมาะสมแตกต่างกันในแต่ละสถานการณ์ อาจให้เด็กมีโอกาสพูดคุยกับหมอหรือผู้ที่มีความรู้ในเรื่องเพศศึกษา เพื่อที่จะเข้าใจถึงลักษณะที่แตกต่างกันของการคุมกำเนิด ซึ่งการคุมกำเนิดมีหลัก ๆ คือ การคุมกำเนิดแบบฮอร์โมน เป็นวิธีที่นิยมใช้กัน เพราะสะดวกและมีอยู่มากมายตามท้องตลาด แต่มีข้อห้ามในการใช้สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ โดยต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา ซึ่งโดยรวมแล้วการคุมกำเนิดแบบใช้ฮอร์โมนแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เอสโตรเจน และโปรเจสโตเจน ซึ่งเป็นแบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด การใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกําเนิด เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ออกฤทธิ์ได้นาน ที่นิยมใช้มากเป็นพวก DMPA และการใช้ยาฝังคุมกําเนิด
การคุมกำเนิดแบบไม่ใช้ฮอร์โมน เช่น การใส่ห่วงคุมกำเนิด ถุงยางอนามัย และการนับวัน นอกจากนี้แล้วยังมีการคุมกำเนิดแบบการหลั่งภายนอก การใช้น้ำยาฆ่าเชื้ออสุจิ การสวนล้างช่องคลอดอีกด้วย
นอกจากพ่อแม่แล้วนั้น วัยรุ่นเองก็ต้องเปลี่ยนแปลงความคิดและค่านิยมผิดๆ ในเรื่องของ “การยอมเสียตัว” เพื่อเป็นของขวัญให้คนรักในวันวาเลนไทน์ เพราะในวันนั้น เราสามารถมอบสิ่งดีๆ มอบความรักที่บริสุทธิ์ให้กับทุกคนได้ ไม่ใช่เพียงแค่คนรักเท่านั้น แต่รวมไปถึงพ่อแม่ พี่น้อง และเพื่อน แต่ที่สำคัญ!! เมื่อมีความรักจำเป็นต้องรักแบบให้เกียรติกัน ช่วยเหลือกัน ทำอะไรก็ต้องไม่ให้ตัวเองและคนอื่นเสียหายหรือเดือดร้อน ต้องตั้งสติ รู้จักคิด เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว…
วัยรุ่นเป็นวัยที่เข้าใจยาก ต้องการอิสรเสรีภาพ และมีโลกส่วนตัวสูง ดังนั้น ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ลูก การทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของพ่อแม่ ตลอดทั้งความรักความเข้าใจกันในครอบครัวจะช่วยวัยรุ่นห่างไกลจากปัญหานี้ได้
เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ www.thaihealth.or.th
Update:10-02-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่