“วัยรุ่นถามอะไรเรื่องเซ็กส์”

เด็กขาดต้นทุนชีวิตเข้าใจผิดเรื่องเพศ

           มีเซ็กส์ครั้งแรกจะท้องไหม หลั่งข้างนอกปลอดภัยแค่ไหน ทำไมต้องใช้ถุงยางนามัย ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจจะทำอย่างไร ช่วยตัวเองผิดปกติหรือไม่ ทำไมรู้สึกแปลกๆหลังมีเพศสัมพันธ์….? นี่คือ หลากหลายคำถามเรื่องเซ็กส์ของวัยรุ่นที่ต้องการคำตอบ…. แต่เมื่อพื้นที่ที่เปิดกว้างให้ข้อมูลในเรื่องนี้กลับมีไม่มากพอ…ด้วยค่านิยมทางสังคมมองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องน่าอาย ไม่ควรถูกนำมาเปิดเผยโดยเฉพาะในครอบครัว เพื่อน จึงกลายเป็นบุคคลที่ให้คำปรึกษาแทนพ่อแม่

 

“วัยรุ่นถามอะไรเรื่องเซ็กส์”

 

           จากผลสำรวจเอแบคโพลเรื่องความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเพศของเด็กและเยาวชนไทย พบเด็กและเยาวชนไทยอายุ 9 -18 ปี ในพื้นที่กทม. เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรีและสงขลา จำนวน 2,060 ตัวอย่าง พบบุคคลที่เด็กและเยาวชนปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องเพศ อันดับ 1 คือเพื่อนสนิท สูงถึง 51% ตามมาด้วย พ่อแม่ 14% และแฟน/คู่รัก 10% ตามลำดับ โดยพ่อแม่เป็นบุคคลที่เยาวชนคาดหวังว่าควรมีบทบาทในการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศมากที่สุดถึง 60% ขณะเดียวกันพ่อแม่/ผู้ปกครองยังเป็นบุคคลที่เด็กเยาวชนตั้งใจจะไปปรึกษาด้วยมากที่สุด

           โดยตัวอย่าง 10 คำถามที่เด็กอยากรู้นั้น ได้แก่ ความกังวลใจเรื่องของการมีประจำเดือน การฝันเปียกเป็นอาการหมกมุ่นหรือไม่ ช่วยตัวเองจิตผิดปกติไหม ช่วยตัวเองบ่อยแล้วเป็นสาเหตุทำให้สิวขึ้น ช่วยตัวเองบ่อยครั้งอาจทำให้เป็นหมัน การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกไม่ทำให้ท้องจริงหรือ การนับหน้า7หลัง7 มีโอกาสท้องต่ำ มีเพศสัมพันธ์แล้วป้องกันจะท้องไหม กอดจูบลูบคลำภายนอกแบบไม่สอดใส่คงไม่ท้อง และการหลั่งนอกเป็นหนึ่งวิธีทำให้ไม่ท้องจริงหรือไม่ ซึ่งยังมีคำถามอื่นอีกมากที่โจ๋ไทยอยากรู้

          ปรากฎการณ์ข้างต้นนั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เด็กและเยาวชนหันหาเพื่อนให้คำปรึกษาซึ่งยังขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศที่ถูกต้องเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ไม่ทราบวิธีการคุมกำเนิดที่ถูกวิธีและเหมาะสม ขาดความเข้าใจเรื่องวิธีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงตามกระแสนิยมในหมู่วัยรุ่นที่มองเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติ

          สอดคล้องกับข้อมูลแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชนจากการสำรวจต้นทุนชีวิตเด็กและเยาวชนเปรียบเทียบระหว่างเด็กที่มีเพศสัมพันธ์และไม่มีเพศสัมพันธ์ทั้งที่เข้ารับบริการสุขภาพทางเพศของโครงการเลิฟแคร์ จำนวน 333 คน อายุเฉลี่ย 20 ปี ไม่เพียงเท่านี้เด็กในสถานศึกษาที่ยอมรับว่ามีเพศสัมพันธ์แล้ว 513 คน อายุเฉลี่ย 19 ปี มีทักษะในการปฎิเสธที่จะมีเพศสัมพันธ์ต่ำที่สุดคือ 65% และมีจุดยืนต่อการมีเพศสัมพันธ์เพียง 42% ตำกว่าทักษะปฏิเสธ

          โดยนพ.สุริยเดว ทรีปาตี หัวหน้าคลินิกเพื่อนวัยทีน สถาบันเด็กแห่งชาติมหาราชินี ชี้ให้เห็นว่า แม้เด็กยุคใหม่จะมีทักษะที่จะปฏิเสธ แต่กลับยอมรับการมีเพศสัมพันธ์มากขึ้น ส่วนเด็กผู้หญิงยังมีทักษะปฏิเสธและมีจุดยืนต่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ดีกว่าเด็กผู้ชาย แต่ยังขาดการปฏิเสธอย่างจริงจังเนื่องจากเด็กทั้ง 3 กลุ่ม ต่างอ่อนแอเรื่องการทำกิจกรรมที่ดีในชุมชนและหมู่เพื่อนขาดการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา เมื่อต้นทุนชีวิตเด็กขาดหายภูมิคุ้มกันโรคทางสังคมมีน้อย เด็กจึงถูกโน้มนำไปตามกระแสได้ง่าย ตามคำชักชวนของกลุ่มเพื่อนไม่ว่าดีหรือไม่ดี เพื่อให้เป็นที่ยอมรับทำให้เด็กพร้อมที่จะทำตามคำชักชวนเหล่านั้นได้ไม่ยาก

          ด้วยเหตุที่เด็กและเยาวชนขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศที่ถูกต้อง ก่อให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยงจากปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่พร้อมทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ปัญหาที่ตามมารบกวนจิตใจและสุขภาพก็คือ ท้องไม่พร้อมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยในประเทศไทยพบแม่วัยรุ่นอายุระหว่าง 16-20 ปี จำนวนกว่า 145,000 ซึ่งมากกว่าครึ่งหรือ 53% เป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม

          นอกจากนี้ข้อมูลจากกรมควบคุมโลกยังพบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ป่วยมากที่สุด คือ โรคหนองในบ่งชี้การแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นำไปสู่การระบาดของโรคเอดส์ที่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อมากกว่าปกติ

          เกี่ยวกับเรื่องนี้นพ.วัชระ พุ่มประดิษฐ์ ที่ปรึกษาองค์การแพธแห่งประเทศไทย (PATH) แนะนำว่า หากเด็กวัยรุ่นรับรู้ได้ถึงพฤติกรรมการเสี่ยงติดเชื้อเอดส์ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุจากการมีเพศสัมพันธ์หรือการพลาดถูกเข็มของผู้อื่นต่ำหรือด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม ควรกินยาต้านเชื้อเอดส์ (HIV) ภายในเวลา 3 วันหรือ 72 ชั่วโมง จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้ถือเป็นการป้องกันไว้ดีกว่าแก้

          ดังนั้นวัยรุ่นยุคใหม่จึงควรหันมาดูแลใส่ใจสุขภาวะทางเพศของตนเองอย่างเหมาะสม ระมัดระวังในเรื่องเพศสัมพันธ์พฤติกรรมหรือการปฏิบัติทางเพศที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันร่างกายให้ห่างไกลเชื้อ HIV ที่จะนำมาซึ่ง โรคเอดส์หรือความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในปากมดลูก (ที่เกิดจากเชื้อ HPV) เกราะป้องกันภัยที่ดีที่สุดคือ การมีเพศสัมพันธ์เมื่อถึงวัยอันควรและควรใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มความปลอดภัยลดช่องทางเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพราะถุงยางอนามัยสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันเชื้อโรค ที่รวมถึงการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ในทางอื่นด้วย เช่น ทางปาก ทางอวัยวะเพศ ทางทวารหนัก หรือทางอื่นๆ

          แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า ถุงยางจะป้องกันโรคเอดส์ได้ 100% ขอเพียงสร้างความมั่นใจป้องกันตนเองให้มากที่สุด เนื่องจากถุงยางที่มีอยู่ในท้องตลาดมีหลายชนิดหลายประเภท มีทั้งที่โฆษณาฆ่าเชื้อต่างๆได้ แต่ในทางการแพทย์แนะนำเพียงให้ใช้ถุงยางที่ไม่ปริแตกง่าย สวมกระชับ และสะดวกในการใช้งาน เพื่อเป็นตัวช่วยลดปัญหาต่างๆ ดังนี้ อันดับแรกช่วยในการคุมกำเนิด ตามมาด้วยป้องกันกามโรค การแพร่โรคเอดส์ช่วยไม่ให้ติดโรคเอดส์ได้ง่ายและไม่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งช่วยไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์หรือท้องไม่พร้อมไม่เพิ่มอัตราการเสี่ยชีวิตจากการทำแท้ง

          ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่เส้นทางชีวิตของเด็กและเยาวชนจะเป็นเช่นไรจะดีจะร้าย สิ่งหนึ่งที่ช่วยฉุดดึงพวกเขาไว้คือ ภูมิคุ้มกันชั้นดีที่สร้างขึ้นด้วยแรงโอบอุ้มจากพ่อแม่ชุมชนร่วมไปถึงสังคม ต่างมีส่วนร่วมสร้างความหมายและคุณค่าชีวิตทางเพศที่เป็นสุขและปลอดภัยไปพร้อมๆกันได้….เพราะเราเชื่ออย่างหนึ่งว่า ต้นทุนชีวิต พิชิตปัญหาเซ็กส์” ^_^

 

 

 

 

 

 

เรื่องโดย: กิตติยา  ธนกาลมารวย Team content www.thaihealth.or.th

 

 

Update:15-02-53

อัพเดทเนื้อหาโดย: กิตติยา  ธนกาลมารวย

Shares:
QR Code :
QR Code