ลูกสอบเข้า ม.1 และ ม.4 ไม่ได้ อย่าด่าว่ารุนแรง
จิตแพทย์แนะให้กำลังใจ
จิตแพทย์เตือนพ่อแม่ลูกสอบเข้า ม.1 และ ม.4 ไม่ได้ อย่าด่าว่า ตำหนิรุนแรง ชี้ โอ๋เกินไปหวั่นเด็กขาดเอคิวทักษะการฟันฝ่าอุปสรรค แนะให้กำลังใจด้วยความเข้าใจ สอนให้รู้จักความยากลำบาก อดทน สังเกตอาการลูกเศร้า ซึม เก็บตัว เกิน 2 สัปดาห์ รีบพบแพทย์
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวถึงกรณีนักเรียนที่พลาดหวังจากการการสอบเพื่อคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในสถาบันการศึกษาของรัฐทั่วประเทศ โดยจะมีการประกาศผลการสอบคัดเลือกในวันที่ 31 มีนาคมนี้ ว่า นักเรียนทั้งระดับชั้น ม.1 และ ม.4 ที่สอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนที่ต้องการไม่ได้ บางคนอาจยอมรับและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย แต่ส่วนใหญ่จะผิดหวังและกลัวกับการที่ต้องทำให้ผู้ปกครองผิดหวังด้วย ดังนั้น ผู้ปกครองควรที่จะสังเกตอาการบุตรหลาน เนื่องจากยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนต้นที่เก็บความรู้สึกเก่ง อาการผิดหวังอาจจะไม่ได้แสดงออกชัดเจนด้วยการร้องไห้ แต่อาจจะมีอาการเงียบขรึมลง เก็บตัว ไม่พูด พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง หงุดหงิดง่าย และปลีกตัวออกจากเพื่อน ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ควรอยู่กับเด็กเกิน 2 สัปดาห์ หากเกินกว่านี้ หรือเด็กมีอาการเศร้า เสียใจมากจนผิดปกติทั่วไป ทรุดทั้งร่างกายและจิตใจ ควรรีบหาทางจัดการปัญหาหรือปรึกษาแพทย์
“หากบุตรหลานมีอาการเหล่านี้ ผู้ปกครองควรที่อยู่กับเขาตลอดเวลา โอบกอดทำให้เด็กรู้ว่า พ่อแม่รับได้ และพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ แสดงความเห็นอกเห็นใจ ให้เขาระบายสิ่งที่เก็บอยู่ในใจออกมา หากจะพูดปลอบใจควรเป็นไปในลักษณะที่เข้าใจ ชี้ให้เขาเห็นว่าพร้อมตั้งต้นกันใหม่และช่วยกันคิดหาที่เรียนใหม่ต่อไป”นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า พ่อแม่บางคนทุ่มเทในการที่ลูกต้องสอบเข้าโรงเรียนดังๆ จึงมีความคาดหวังให้ลูกสอบได้สูง แต่สิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงในการปฏิบัติเมื่อลูกสอบเข้าไม่ได้ คือ การใช้คำพูดที่อาจจะไม่ได้ว่ากล่าวอย่างรุนแรงแต่เป็นไปในลักษณะที่กล่าวหาหรือตำหนิชัดเจน เช่น เห็นไหม บอกแล้วให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งคำพูดเช่นนี้จะกระทบกับจิตใจเด็กและวัยรุ่นไทยที่ในปัจจุบันค่อนข้างอ่อนไหวทางอารมณ์ และทนต่อแรงกดดันน้อย จนอาจแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมาในทางที่ไม่ถูกต้อง ในทางกลับกัน ไม่ควรโอ๋จนเกินกว่าความจำเป็น เพราะการให้เด็กได้พบกับความผิดหวังและความล้มเหลว จากการที่ตนเองเตรียมตัวไม่มากพอ จะช่วยสอนให้เขารู้ว่า ความผิดหวังทุกคนต้องประสบพบเจอในชีวิต มิเช่นนั้น เขาจะไม่รู้จักความยากลำบากและความอดทนต่อสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ เรียกว่าขาดเอคิว (adversity quotient) หรือความสามารถใน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า สำหรับตัวเด็กเอง ควรคิดเสมอว่าความผิดหวังเป็นเรื่องปกติ เหมือนการวิ่งแล้วล้มจะช่วยให้เราวิ่งเป็น การสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงไม่ได้ ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต แต่ควรที่จะนำความผิดหวังในช่วงต้นของชีวิตมาแปลเปลี่ยนเป็นพลังทางบวก ใช้เป็นบทเรียนในการดำเนินชีวิต เพื่อไม่ให้ผิดหวังต่อไปในอนาคตข้างหน้า ซึ่งความเครียดที่เกิดขึ้นจากการต้องสอบแข็งขันที่เกิดขึ้นในประเทศที่ใช้ระบบการสอบแบบแพ้คัดออก ถือเป็นเรื่องปกติและจะกลายเป็นพลังงานดันตัวเองสู่เป้าหมาย และไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้นแต่หลายประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ ก็ใช้ระบบเช่นนี้และนักเรียนจำนวนมากต้องอยู่ในภาวะเครียดเช่นเดียวกัน คนที่ไม่เครียดไม่มี
“ทุกคนต้องบริหารความเครียดไม่ให้มีน้อยเกินไป เพราะจะส่งผลให้เกิดความเฉื่อยชา หรือมีมากเกินไป จนทำให้อ่อนล้า ท้อแท้ ลนลาน วิตกกังวล และตกใจเกินกว่าเหตุ แต่หากความเครียดอยู่ในระดับปานกลาง มีความเหมาะสมจะเป็นเหมือนน้ำมันเติมร่างกายช่วยในการสอบ ด้วยการออกกำลังสมอง ฝึกซ้อมวิชาที่เรียนสม่ำเสมอ ตั้งใจทำข้อสอบอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน ก็ต้องเผื่อใจที่จะผิดหวังจากการสอบคัดเลือกด้วย”นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์ astvผู้จัดการ
update:30-03-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่