‘ลานทอง’ พึ่งตนเองชูเศรษฐกิจพอเพียงสร้างชุมชนเข้มแข็ง

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บ้านลานทอง ต.เขาวงกต อ.แก่งหางแมวจ.จันทบุรี เป็นอีกชุมชน ที่ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมใช้สารเคมี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค รวมทั้งสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลง และเกิดภาวะหนี้สินเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นจึงมีการร่วมกันของศูนย์การเรียนรู้พึ่งพาตนเองร่วมสมัย ภาคประชาชน องค์การบริหารส่วนตำบลเขาวงกต รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลเขาวงกต และ ร.ร.บ้านหนองเจ๊กสร้อย จัดทำโครงการ”ร่วมสร้างหมู่บ้านพอเพียง เพื่อรากฐานสุขภาพที่ยั่งยืน หมู่บ้านลานทอง” น้อมนำแนวคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาพัฒนาชุมชนให้เกิดการพึ่งพาตนเอง แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนอย่างยั่งยืน โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

น.ส.อารีรัตน์ พูนปาล หัวหน้าโครงการฯ เปิดเผยว่าศูนย์การเรียนรู้พึ่งพาตนเองร่วมสมัยเกิดขึ้นมาจากการที่ครอบครัวของตนเองเป็นหนี้สินมากกว่า 8 แสนบาทจากการทำเกษตรสมัยใหม่ จึงปรับเปลี่ยนแนวคิดและกระบวนการผลิตเป็นเกษตรอินทรีย์ ใช้เวลาเพียง 4 ปีก็สามารถปลดหนี้ได้สำเร็จ จึงใช้พื้นที่บริเวณบ้านจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อถ่ายทอดความรู้ในการทำการเกษตรแบบพึ่งพาตนเองให้แก่ผู้ที่สนใจ

“ปัญหาคือเรื่องสุขภาพ ชาวบ้านป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมัน และสารเคมีตกค้าง จากการกินผักและผลไม้ที่ปนเปื้อน การใช้ยาปราบศัตรูพืช ยังมีปัญหาต้นทุนการผลิตสูง จึงต้องหาวิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและแนวคิดการผลิต” น.ส.อารีรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้โครงการฯ ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้”พิษภัยของสารเคมีต่อสุขภาพของชุมชน” และสาธิตตัวอย่างการ”สร้างเสริมสุขภาพในวิถีพอเพียงพึ่งพาตนเอง” ให้กับเกษตรกร ถ่ายทอดความรู้การผลิตอาหารปลอดภัย การลดต้นทุนการผลิต การสร้างแหล่งอาหารในครัวเรือน การใช้พลังงานทดแทน การใช้สมุนไพรในชีวิตประจำวัน การปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่างเพื่อให้นำความรู้ไปปรับใช้กับการประกอบอาชีพของตนเองและครอบครัว รวมถึงกระตุ้นให้ชุมชนตระหนักถึงพิษภัยของสารเคมี และหันมาพึ่งพาตนเองตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและยังได้ร่วมกับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเขาวงกต นำเรื่องสุขภาพมาเชื่อมโยงและสร้างความเข้าใจกับชุมชน

นายรัฐวุฒิ สมบูรณ์ธรรม เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รพ.สต.เขาวงกต เปิดเผยว่าจากการตรวจสุขภาพประชาชนพบว่ามีปัญหาสารเคมีตกค้างในร่างกายสูงกว่าร้อยละ 70  สาเหตุมาจากการบริโภคอาหารและอาชีพเกษตรกรรมที่ใช้สารเคมีและยาปราบศัตรูพืช

ดังนั้นจึงเน้นให้เกิดการ ลด ละ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดี แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การส่งเสริมให้ทำเกษตรกรรมปลอดสารพิษ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยใช้ผลตรวจเลือดมาอธิบายให้เห็นสาเหตุของโรค ทำให้เกษตรกรเกิดความตระหนักในสุขภาพมากยิ่งขึ้น แล้วหันมาให้ความสนใจกับอาหารที่บริโภคนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิต

นายวิเชียร หนูพิมพ์ทอง อายุ 65 ปี เครือข่ายเกษตรจากบ้านหนองกวาง ต.เขาวงกต กล่าวว่า ในอดีตปลูกมันสำปะหลัง และทำสวนทุเรียน แต่ยิ่งทำก็ยิ่งจนสุขภาพก็เริ่มทรุดโทรมเนื่องจากต้องพ่นยาเอง พอผลผลิตราคาตกก็เริ่มเป็นหนี้สะสม  ทุกวันนี้จึงหันกลับมาปลูกผักและผลไม้ทำไร่แบบผสมผสาน ปลูกทั้งละมุด เงาะ ทุเรียน มังคุด ลองกอง มะกอกน้ำ ชมพู่ หมุนเวียนมีผลผลิตจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี

“ที่สำคัญคนซื้อเมื่อรู้ว่าเป็นผลผลิตที่ปลอดภัยต่อสุขภาพถึงแม้จะแพงกว่าท้องตลาดทั่วไปก็ยังขายได้ดี” ลุงวิเชียร กล่าวและว่ายังปลูกฝังแนวคิด สร้างทักษะและความรู้ในการพึ่งพาตนเอง แก่เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ และร่วมกับโรงเรียนบ้านหนองเจ๊กสร้อย จัดกิจกรรม”เยาวชนเกษตรอินทรีย์วิถีพอเพียงบนความยั่งยืน” ให้เด็กๆ ได้ลองปลูกผักปลอดสารพิษ ผลิตของใช้ในครัวเรือนจากสมุนไพรใกล้ตัวฯลฯ

นอกจากนี้ยังได้ต่อยอดแนวคิดเกิดเป็นกิจกรรม”ธนาคารคนช่างเก็บ” และ “ตลาดนัดคนรักษ์โลก” เพื่อให้เด็กๆ เห็นคุณค่าของการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการคัดแยกขยะ เศษอาหารก็จะนำไปผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ สิ่งที่สามารถรีไซเคิลได้ก็นำมาขายสร้างรายได้ ช่วยลดภาระปัญหาขยะของชุมชน

น.ส.เพ็ญรุ่ง กวีรัตน์ธำรง ผอ.โรงเรียนบ้านหนองเจ๊กสร้อย กล่าวว่าเนื่องจากเป็นโรงเรียนขยายโอกาส ดังนั้นจึงมีนักเรียนส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ศึกษาต่อ เพราะต้องออกไปทำงานช่วยเหลือครอบครัว ซึ่งการให้เด็กๆ ได้มาเรียนรู้ด้านการทำการเกษตรอินทรีย์นั้นจะเป็นพื้นฐานที่ทำให้เขาได้มีความเข้มแข็งในการประกอบอาชีพและสามารถพึ่งพาตนเองได้ ยังแทรกใน8 สาระวิชา เพื่อให้เด็กดำรงชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงจะช่วยให้เกิดสังคมที่เข้มแข็ง หัวหน้าโครงการฯสรุปว่า การปรับเปลี่ยนแนวคิดและประกอบอาชีพมาเป็นเกษตรอินทรีย์ ด้วยการทำการเกษตรแบบผสมผสานเน้นการพึ่งพาตนเอง จะทำให้ชาวบ้านมีสุขภาพที่แข็งแรง และชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

Shares:
QR Code :
QR Code