ละคร: ศิลปะในการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงของเยาวชน
หลังจากชมการแสดงของเหล่าเยาวชนในห้องต่างๆ ทีเด็ดอีกอย่างจากมหกรรมละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง คือเวทีเสวนา “ละคร : ศิลปะในการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงของเยาวชน” ซึ่งได้กูรูชั้นเซียนมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างออกรส
นอกไปจากตลาดนัดจับฉ่ายความรู้ สนุกสนานในห้องต่าง ๆ ที่ทุกคนได้ลองลิ้มชิมรสกันตามรสนิยมส่วนตัวแล้ว โครงการละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง ก็ได้จัดเตรียมฟูลคอร์สสูตรเด็ดเผ็ดมันส์จานใหญ่ ไว้ให้ทุกคนได้ลิ้มรสร่วมกันกับการเสวนา “ละคร : ศิลปะในการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงของเยาวชน” แน่นอนว่าเพื่อการนี้เราได้ขนเชฟกระทะเหล็กมือทองคำกันมาอย่างมากมายเริ่มจากท่านแรก นพ.บัญชา พงษ์พานิช กรรมการบริหารแผนงานสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม (สสส.) ผู้ใหญ่ใจดีที่คอยเฝ้าดูแลพวกเรา ส่วนท่านถัดมาก็เป็นอาจารย์พรรัตน์ ดำรุง หรือคุณครูอุ๋ย จากภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะตามมาติดๆ ด้วยคุณพฤหัส พหลกุลบุตร พี่ก๋วยตัวใหญ่ใจดี หัวหน้าโครงการละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง ที่มาพร้อมกับน้องกอล์ฟ หรือนายธนุพล ยินดี ตัวแทนเยาวชนในโครงการฯ โดยทั้งหมดจะเรียงลำดับการเสิร์ฟโดย ผศ.สุกัญญา สมไพบูลย์ หรือครูโอ๋ ของพวกเราชาวมะขามป้อมนั่นเอง
ครูโอ๋เริ่มต้นขึ้นด้วยคำถามเบาๆ ว่า “ละครนั้นช่วยสร้างสุขภาวะทางปัญญาอย่างไร” ก่อนที่คุณหมอบัญชาจะอธิบายให้กับพวกเราฟัง “ที่จริงแล้วความสุขมันมีสองระดับ ระดับแรกคือสุขกายสุขใจ ดูแล้วเพลิดเพลินสนุก มีท่าทีลีลาที่น่าสนใจ อันที่สองคือสุขภาวะทางปัญญาคือ การทำให้เกิดความคิดอ่านที่ดีและถูกต้อง” คุณหมอเล่าย้อนถึงละครเรื่อง ดงพญาไฟ กับทะเลชีวิต ที่สามารถสร้างปัญญาจากความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ผ่านละครที่มีความจริงอยู่ภายใน ทั้งยังก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการหยิบเอาปัญญานั้นไปใช้ในชีวิตจริง
หลังจากคำตอบของคำถามเบาๆ ผ่านไป ครูโอ๋ก็หยิบคำถามถัดไปให้กับครูอุ๋ยทันทีว่า “ละครที่สร้างขึ้นมาเพื่อการเปลี่ยนแปลง กับละครทั่วไป ในด้านกระบวนการเรียนรู้และการสร้างสรรค์มันเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร” สำหรับคำตอบนั้นครูอุ๋ยบอกว่า “จริง ๆ แล้วไม่ได้ต่างกันมากมายนัก เพราะถ้าสมมุติว่าเด็กซักคนอยากเป็นนักแสดง ไม่ว่าจะละครแบบใดก็ย่อมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ถึงจะสนใจเป็นแค่นักแสดงอย่างเดียวก็ตาม เพราะการฝึกฝนละคร เราต้องเล่นสมมุติเป็นคนอื่น ทีนี้เมื่อจะเล่นเป็นใคร เราก็ต้องเข้าใจเขา และนั่นก็คือการเรียนรู้ชีวิตของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา”
จากนั้นครูอุ๋ยก็เสริมว่ายิ่งถ้าเราทำละครเรื่องใหญ่ ก็ไม่ใช่เราทำงานคนเดียว “เราต้องประชุม พูดคุย ทะเลาะกัน ทุกคนที่อยู่ในกระบวนการแบบนี้ ก็จะได้อยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน เรียนรู้ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะออกมาเป็นละครแบบใด คนทำงานย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน”
ทีนี้ครูโอ๋ก็ยิงคำถามถัดไปว่า “แล้วถ้าสิ่งที่เยาวชนคิดมันไปตรงกันข้ามกับรัฐบาลพวกเขาควรจะทำอย่างไร แล้วจะยังได้รับการสนับสนุนหรือไม่” ซึ่งก็ได้คำตอบกลับมาว่า “อันที่จริงสิ่งที่เรารู้ ทุกคนต่างก็รู้เพียงแต่พวกเขาไม่ได้พูดกัน ดังนั้นการเข้าไปทำงานชุมชนนั้น เราต้องถามตัวเองว่า คนในชุมชนนั้นคิดถึงเรื่องนี้อย่างไร และเขาอยากจะเล่าเรื่องอะไร เราต้องรับฟังและให้พวกเขาได้พูด สิ่งเหล่านี้มีแต่เด็ก ๆ เท่านั้นที่จะทำได้”
แล้วก็มาถึงทีของวัยรุ่นตัวแทนจากโครงการกับคำถามชุดใหญ่ “หลังจากเข้าร่วมโครงการแล้ว พบว่าเรามีการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร ส่งผลไปถึงครอบครัว เพื่อนๆ สังคมหรือไม่ และสุดท้ายคือเห็นคุณค่าของโครงการนี้อย่างไร” น้องกอล์ฟก็ไล่เรียงตามลำดับว่า สิ่งแรกที่เปลี่ยนคือความรู้ทางศาสตร์ละคร จากแค่รู้จักในสื่อโทรทัศน์ ก็ได้เรียนรู้ในด้านอื่นๆ มากขึ้น ถัดมาก็คือในด้านของการทำงาน ความรับผิดชอบ การมีส่วนร่วมกับกลุ่ม ซึ่งนำไปปรับใช้ได้กับด้านอื่นๆ ของชีวิต และสุดท้ายก็คือ “เรื่องของประเด็น ที่ไม่ได้มาจากการนั่งคิดกันเอง แต่มาจากการลงชุมชน การเข้าไปในพื้นที่ มันทำให้เราได้เปิดตาเปิดหู เปิดทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่ได้ฟังแค่จากข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น”
“หัวใจหลักของโครงการละครเพื่อการเปลี่ยนแปลงคืออะไร” พอถึงคำถามนี้ก็เป็นทีของพี่ก๋วย ที่เล่าให้ฟังว่า โดยส่วนตัวนั้นหัวใจคืออยากจะพาน้องๆ เยาวชน ไปเรียนรู้แลกเปลี่ยนและสร้างทางเลือกให้กับพวกเขา เพราะอยากให้พวกเขาเห็นว่าจากชีวิตปกติธรรมดาๆ ที่ก็ถือก็เป็นเรื่องราวหนึ่ง “หากแต่ชิวิตและโลกไม่ได้มีเพียงแค่นั้น” ชีวิตยังมีเรื่องราวอื่น ๆ และประเด็นอีกมากมายที่น่าสนใจ และเมื่อมาทำละครก็เกิดการเรียนรู้จากการลงมือทำ นี่คือวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุดของคน เพราะเมื่อได้ลงมือทำก็จะเกิดความเข้าใจมันอย่างแท้จริง จนนำไปสู่สุขภาวะทางปัญญาในท้ายที่สุด
“ช่วงเวลาเล็กๆ อันนี้แม้ว่าท้ายสุดน้องๆ อาจจะไม่ต้องมาเป็นนักละครก็ได้ ก็กลับไปมีชีวิตเหมือนเดิม ไปเป็นวิศวกร ไปเป็นสถาปนิก แต่เชื่อว่าประสบการณ์ส่วนนี้จะเป็นหน้าหนึ่งในชีวิต ที่หันกลับมามองแล้วมันน่าสนใจ เป็นขั้นตอนหนึ่งของการเติบโตของพวกเขาที่แตกต่างออกไปสำหรับทุกคน” พี่ก๋วยกล่าวทิ้งท้าย
ซึ่งครูโอ๋ก็เพิ่มเติมด้วยเกร็ดที่น่าสนใจว่า “ไม่ว่าจะเป็นคนดู คนเล่น คนคิดหรือทำอะไรกับละคร ให้ภูมิใจเลยว่าเราเป็นนักปราชญ์ เพราะหนึ่งในเจ็ดข้อสำคัญของการเป็นปราชญ์ที่นักวิชาการกรีกคนหนึ่งกล่าวไว้เมื่อสองพันกว่าปีแล้วว่า นั่นคือจะต้องเข้าใจละครและเป็นนักละครได้ด้วย เพราะนี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะเราจะสะท้อนสิ่งต่าง ๆ ออกมาได้อย่างน่าสนใจ
และแล้วก็มาถึงคำถามสุดท้ายของฟูลคอร์สชุดนี้ “เราจะขยายผลเรื่องละครเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมนี้ได้อย่างไร” คุณหมอตอบโดยแบ่งข้อสังเกตออกเป็นสองข้อ โดยข้อสังเกตแรกนั้นเห็นว่าเยาวชนทุกคนที่เข้ามาในโครงการ แม้จะมาแค่เพื่อเป็นนักแสดง แต่ทุกคนก็ได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้หลากหลาย ผ่านค่ายคิด สำรวจ ออกแบบ จนทำออกมาเป็นละครหนึ่งเรื่อง ที่กลายเป็นความทรงจำซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวเอาไว้ใช้ในด้านอื่น ๆ ของชีวิตเราได้ ส่วนอีกข้อนั้นก็มองไปถึงวงการละคร ที่เป็นวงการสร้างความสุขในสังคม ถ้าหากมีกลุ่มคนตัวเล็ก ๆ ดังเช่นเยาวชนเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดมิติที่หลากหลายนอกเหนือไปจากแค่สื่อกระแสหลักเพียงอย่างเดียว
ก่อนจะจบพี่ก๋วยก็ขอฝากของหวานไว้ว่า “มีผู้คนที่ทำงานขับเคลื่อนอีกมากมายทั่วประเทศ ถ้าหากเราอยากจะให้เรื่องเหล่านี้ขับเคลื่อนต่อไปได้ เราก็ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคนช่วยเหลือกัน รวมไปถึงน้องๆ เยาวชนว่าต้องการจะเดินต่อไปหรือไม่อย่างไร ถ้าหากทุกคนมุ่งมั่นและเห็นประโยชน์ร่วมกัน ก็คิดว่าละครเพื่อการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาในประเทศไทยก็คงมีความหวัง”
ซึ่งครูอุ๋ยก็เสริมต่ออีกว่า “ละครเป็นเรื่องของมนุษย์ ของคนในหลายรูปแบบ ซึ่งในที่นี้ก็มาจากเรื่องราวของคนจริง ๆ และเชื่อว่ายังมีมุมให้มองอีกมากมาย ที่ถ้าทุกคนในใจเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็ขอให้กลับไปชุมชน รับฟังเรื่องราวต่าง ๆ นำมาสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไป”
และแล้วฟูลคอร์สชุดใหญ่ก็จบลง ซึ่งเชื่อได้ว่าหลายคนคงรู้สึกอิ่มความสุข อิ่มความรู้กันไปอย่างเต็มที่แน่นอนสำหรับวันนี้ แต่ยิ่งไปกว่านั้นเรายังได้เห็นความหวังสำคัญของวงการละครเพื่อการพัฒนา ที่กำลังจะถูกส่งต่อไปยังผู้คนอีกจำนวนมาก ที่จะออกไปทำในสิ่งที่พวกเขาสนใจ ชัดเจน และเชื่อมั่น ให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ว่า “ยังมีเวทีอีกเยอะให้เราทำ นอกจากไปประกวดร้องเพลง” เสียงแซวขำๆ จากครูโอ๋ที่ทิ้งท้ายไว้อย่างได้ใจจริงๆ
ที่มา: โครงการละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง