รู้ทันใช้ยา เพิ่มโอกาส “ไต” ไม่วายได้แล้ว

ข้อมูลจาก : งานแถลงข่าว “World Kidney Day ถ้ารักไต อย่าให้ไตวาย”
ภาพโดย พงศ์ศุลี จีระวัฒนรักษ์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
ภาพหน้าปกบทความ รู้ทันใช้ยา เพิ่มโอกาส “ไต” ไม่วายได้แล้ว

                    รู้หรือไม่ว่า การใช้ยาอาจมีผลข้างเคียงต่ออวัยวะต่าง ๆ

                    แต่อวัยวะที่ดูจะได้รับผลกระทบบ่อยที่สุดดนั่นคือ “ไต”  ซึ่งปัจจุบัน  ประเทศไทยกำลังติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคไตสูงสุดในโลก

                    ปัจจุบันประเทศไทยต้องใช้เม็ดเงินผ่านกองทุนไตวายเรื้อรังเป็นงบประมาณสำหรับผู้ป่วยเกี่ยวข้องกับโลกไตสูงขึ้นทุกปี ล่าสุดมีตัวเลขน่าตกใจนั่นคือค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาเรื่องไตกำลังทะลุเกินหลักหมื่นล้านบาท

                    อีกข้อมูลที่น่ากังวลคือ วันนี้เรากำลังมีผู้ป่วยโรคไตที่มีอายุน้อย หรือยุ่ในวัยหนุ่มสาววัยคนทำงานมากขึ้น นี่อาจเป็นสัญญาณว่าสังคมไทยควรหันมาให้ความสนใจ และดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันไม่ให้เข้าสู่ภาวะไตวายหรือไตเรื้อรังก่อนวัยอันควร

                    ถ้ารักไต อย่าให้ไตวาย” จึงหนึ่งในกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการการสื่อสารเรื่องการใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงโรคไต เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้ยาและส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ยาที่ถูกต้อง โดยเหล่าเครือข่ายภาคีสุขภาพที่ตระหนักปัญหาโรคไต ได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความรู้เรื่องโรคไตวายเรื้อรังมากขึ้น และเพื่อเข้าใจที่มาของสาเหตุโรคไตเรื้อรังที่หลายคนอาจไม่รู้  ผ่านการสื่อสารในช่องทางสื่อโซเชียลเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายยุคนี้

ภาพประกอบ บรรยากาศงานแถลงข่าว “World Kidney Day ถ้ารักไต อย่าให้ไตวาย”

“ไต” นั้นสำคัญไฉน

                    “ไต” เป็นอวัยวะสำคัญในการรับเลือดจากหัวใจประมาณร้อยละ 25 ทำหน้าที่กรองของเสียจากเลือดออกจากร่างกายทางปัสสาวะ และยังทำหน้าที่ดูดน้ำกลับทำให้ของเสียต่าง ๆ รวมถึงยาที่กำจัดทางปัสสาวะมีความเข้มข้นขึ้น ส่งผลให้ไตสัมผัสกับยาได้มากและมีโอกาสได้รับพิษจากยาได้มากเช่นเดียวกัน

                    ซึ่งบ่งบอกได้ว่า “ไต” เป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายมาก ซึ่งเราต้องรักษาไว้ให้ยาวนานที่สุด  

                    นอกจากนี้ หน้าที่หลักของไต ไม่เพียงช่วยกรองน้ำและกำจัดของเสีย รวมทั้งสารพิษออกจากร่างกาย แต่ไตยังควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ตลอดจนความเป็นกรดด่างในเลือด และสร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเลือดแดงและวิตามินดี

                     จากข้อมูลทั่วโลกกลับพบว่า ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เป็นมิตรต่อสุขภาพ กำลังเป็นสาเหตุที่ทำให้คนทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไตประมาณ 10% หรือเรากำลังมี 1 ใน 10 ของประชากรทั่วโลกมีการทำงานไตผิดปกติ

                    สำหรับในประเทศไทยสถานการณ์ดูจะไม่แตกต่าง เพราะเราพบว่าคนไทยมีภาวะโรคไตเรื้อรังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

                    โดยจากรายงานภาวะสังคมไตรมาสที่ 3/2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า คนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังเพิ่มขึ้นจาก 9.8 แสนคน ในปี 2565 เป็น 1.13 ล้านคน ในปี 2567 และจากสถานการณ์โรคไตเรื้อรังปี 2534 – 2564  พบว่าไตยังเป็นอันดับหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดดการสูญเสียปีสุขภาวะหรือความสูญเสียด้านสุขภาพเร็วขึ้น 3.14 เท่า รองลงมาคือมะเร็ง 2 เท่า หลอดเลือดหัวใจ 1.8 เท่า

                    ข้อมูลดังกล่าว ไม่เพียงสะท้อนปัญหาด้านสุขภาพต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคไต แต่ยังชี้ให้เห็นผลกระทบต่อการสูญเสียงบประมาณในระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศจำนวนมหาศาลในแต่ละปีเพื่อดูแลผู้ป่วยโรคไตที่นับวันทวีเพิ่มขึ้น

ภาพประกอบ ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.)

ไตพังเพราะอะรได้บ้าง

สาเหตุโรคไต ไม่ใช่แค่กินเค็มเท่านั้น

                    เพราะเบื้องลึกที่นำพาโรคไตนั้นมีมากกว่าที่คิด แน่นอนว่าหนึ่งในปัจจัยนั้นคือการมี พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ระมัดระวังใจ จนทำให้ไตเข้าสู่ภาวะวิกฤต โดยมีจุดเริ่มจากกลุ่มโรค NCDs ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไปจนถึงการสูบบุหรี่ และอีกสาเหตุหลักที่น่าหนักใจมากสุดการได้รับยาบางชนิด อาหารเสริม หรือสารพิษ หรือแม้แต่สมุนไพรบางชนิดมากหรือยาวนานเกินไป ล้วนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ไตเสื่อม

                    ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ให้ข้อมูลว่า โอกาสที่เราจะเข้าสู่ภาวะไตเสื่อมหน้าที่ลงช้า ๆ หรือไตถูกทำลายบางส่วนมีสาเหตุหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจากโรคกลุ่มไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง การติดเชื้อในปัสสาวะเรื้อรัง การถ่ายทอดทางพันธุกรรม รวมถึงการได้รับยาที่เป็นพิษต่อไต เหล่านี้คือการเพิ่มโอกาส เสี่ยงต่อการเป็น CKD Chronic Kidney Diseases หรือไตเสื่อมเรื้อรังหรือไตวายเรื้อรัง

                    นอกจากนี้ยังมีภาวะ AKI Acute Kidney Injury หรือไตบาดเจ็บเฉียบพลันหรือไตวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นภาวะที่ไตขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งมีต้นเหตุจากการอักเสบของไตหรือเลือดไม่มาเลี้ยงไต ซึ่งการเสียเลือดรุนแรง โดยพบมากกับผู้ป่วยที่รับประทานยาสมุนไพร ยาบำรุง และกลุ่มยาแก้ปวดติดต่อกันเป็นเวลานาน

                    “สังเกตเบื้องต้นง่าย ๆ ดูจากสีปัสสาวะ หากสีเข้มแปลว่าควรระวัง หากปัสสาวะไม่ออกนั่นคือโอกาสเสี่ยง”

                     มีรายงานเกี่ยวกับข้อมูลการสำรวจความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในบุคลากรด้านสาธารณสุขและประชาชน ใน 13 เขตสุขภาพ ปี 2567 ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประชาชนมีระดับความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล 64.9%

                     ผศ.ภญ.ดร.นิยดา กล่าวต่อว่า ปัจจุบันคนไทยยังเลือกซื้อยากินเอง โดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญหรือมีความรู้ด้านการแพทย์ให้คำแนะนำหรือการซื้อยากินเองโดยไม่ปรึกษาเภสัชกรจำนวนมาก ซึ่งนั่นคือการเข้าสู่วัฏจักรความเสี่ยงที่จะทำร้ายไตโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะยากลุ่ม NSAIDs และบรรดายาชุดอันตรายทั้งหลาย

                    “ยาต้านอักเสบมีผลอย่างมาก ซึ่งมีเป็นร้อยพันชนิด นอกจากนี้ยังมี NSAIDs ยาปฏิชีวนะบางชนิด สมุนไพรที่มีพิษต่อไต ยาต้านไวรัสบางชนิด และสารทับแสงตรวจทางรังสี” ผศ.ภญ.ดร.นิยดา กล่าว

ภาพประกอบ ดร.นพ. ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส.

ลดเค็ม ลดโรค ลดยา (ที่ไม่จำเป็น)

                    นอกจากนี้ “ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารเสริม” กำลังเป็นอีกภัยใกล้ตัวที่คุกคามไตเรา โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ซึ่งปัจจุบันเราจะพบว่าในช่องทางสื่อ อาหารเสริมเหล่านี้มีการโฆษณาหนักมาก

                    ดร.นพ. ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า ไตเป็นอวัยวะสำคัญ การไม่ดูแลสุขภาพ หรือการขาดสุขภาวะที่ดีจนนำไปสู่โรคกลุ่ม NCDs ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะไตเสื่อมในอนาคต

                    ที่ผ่านมา สสส. มุ่งส่งเสริมมาตรการป้องกันประเด็นที่เกี่ยวกับโรคไต โดยมีแผนรณรงค์และนโยบายขับเคลื่อนในเรื่องการดูแลสุขภาพและพัฒนาระบบยา โดยการให้ความรู้เพื่อให้ประชาชนมีการรู้เท่าทัน ตลอดจนส่งเสริมงานวิชาการ งานวิจัย และสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายในการคุ้มครองผู้บริโภคจากการใช้ยาอันตราย

                    “รวมถึงเรามีการสื่อสารรณรงค์ผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้บริโภค ป้องกันการถูกหลอกลวงเรื่องการใช้ยา ซึ่งการพัฒนาการสื่อสารเรื่องการใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงโรคไต เพื่อให้คนตระหนักและมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาในชีวิตประจำวัน เพราะกลุ่มยาแก้อักเสบ หรือ NSAIDs ยาชุด ยาสมุนไพรบางชนิด อาจมีฤทธิ์หรือคุณสมบัติบางอย่างทำให้ไตทำงานได้ลดลง ซึ่งหากประชาชนทั่วไปหาซื้อและนำมาใช้ด้วยตนเอง โดยขาดความรู้หรือความระมัดระวัง และไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก็จะส่งผลเสียต่อไตได้”

ภาพประกอบ ดร.วรรษยุต คงจันทร์ รองคณบดีด้านบริการวิชาการและเชื่อมโยงสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิจัยสื่อพบ 3 เจนคนไทยใช้ยาเสริม “เกิน”จำเป็น

                    ดร.วรรษยุต คงจันทร์ รองคณบดีด้านบริการวิชาการและเชื่อมโยงสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โครงการนี้ ยังมีผลการวิจัยพฤติกรรม ทัศนคติ และการเปิดรับสื่อเกี่ยวกับการบริโภคยากลุ่ม NSAIDs สมุนไพร และอาหารเสริมของกลุ่มพนักงานออฟฟิศ และผู้ใช้แรงงาน

                    ซึ่งการวิจัยแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น 3 กลุ่ม คือ รุ่นอายุ 44-59 ปี หรือเจเนอเรชันเอ็กซ์ กลุ่มผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และใช้ยาตามแพทย์สั่งเป็นประจำ มักซื้อยาจากร้านขายยาเองเพื่อประหยัดเวลารวมถึงการใช้สมุนไพรเสริม มีพฤติกรรมการใช้ยาชุดตั้งแต่วัยรุ่น แม้จะตระหนักถึงความเสี่ยง

                    ส่วนรุ่นอายุ 28-43 ปี หรือเจเนอเรชันวาย กลุ่มผู้ใช้แรงงานเริ่มมีโรคประจำตัว เช่น อาการปวดกล้ามเนื้อ ทำให้ใช้ยากลุ่ม NSAIDs เป็นประจำ และใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสมุนไพรตามคำแนะนำจากคนใกล้ชิด ขณะที่กลุ่มพนักงานออฟฟิศมีการดูแลสุขภาพมากขึ้น ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยการปรึกษาแพทย์ ด้านทัศนคติเกี่ยวกับสุขภาพ ทั้งสองกลุ่มมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้ยาและสมุนไพรที่มีผลต่อไต แต่ยังใช้ยาและอาหารเสริมตามคำแนะนำจากแพทย์หรือหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ส่วนการเปิดรับสื่อกลุ่มนี้นิยมสื่อออนไลน์ เช่น TikTok Facebook โดยเฉพาะวิดีโอสั้นจากบุคลากรทางการแพทย์ หรืออินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพ

                    กลุ่มรุ่นอายุ 19-27 ปี หรือเจเนอเรชันแซด กลุ่มผู้ใช้แรงงานยังไม่ค่อยมีโรคประจำตัว เน้นการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เกี่ยวกับผิวพรรณและรูปร่าง โดยได้รับข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตหรือคำแนะนำจากเพื่อน กลุ่มพนักงานออฟฟิศคล้ายกับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ในเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่จะไปพบแพทย์เมื่อมีอาการหนักขึ้น ด้านทัศนคติเกี่ยวกับสุขภาพ ครอบครัวและคนใกล้ชิดมีผลต่อการตัดสินใจ โดยกลุ่มนี้มีความระมัดระวังในการใช้ยากลุ่ม NSAIDs ส่วนการเปิดรับสื่อจะเน้นการรับสื่อออนไลน์ เช่น TikTok โดยเชื่อถือข้อมูลจากแพทย์หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่มีความน่าเชื่อถือในการให้ข้อมูลด้านสุขภาพ

                    “จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการสร้างการตระหนักรู้พร้อมกับการส่งเสริมความรู้ ให้เข้าถึงกลุ่มคนทุกรุ่นเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมสุขภาวะคนในประเทศให้มีสุขภาพที่ดี และลดค่าใช้จ่ายของประเทศ” ดร.วรรษยุต กล่าว

ภาพประกอบ ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.)

คนไทยทุกคนควรรู้ “ค่าไต” ตนเอง

                    “ทางเลือกในการดูแลป้องกันไต หากหลีกเลี่ยงกินยาไม่ได้ ต้องมีการตรวจคัดกรองไต และการจ่ายยาโดยเภสัชกรทุกครั้ง ที่สำคัญตอนนี้เราต้องรณรงค์ให้ประชาชนรู้ค่าไตตัวเองให้ได้ เพราะถ้าไตพังเมื่อไหร่คือคุณจบ ต้องล้างไตหรือเปลี่ยนไต”

                    คำแนะนำต่อมาที่ ผศ.ภญ.ดร.นิยดา มองว่าเป็นประเด็นสำคัญนั่นคือ การสร้างความตระหนักและรับว่าให้ประชาชนคนไทยทุกคน หันใส่ใจรู้ค่าไตตัวเอง

                    ผศ.ภญ.ดร.นิยดาเอ่ยเสริมว่า คนไทยทุกคน ในฐานะผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะถามแพทย์เภสัชกรว่าเรามีค่าไตเท่าไหร่ อยู่ระดับไหนแล้ว เพื่อคอยระมัดระวังดูแลสุขภาพและดูแลไตอยู่เสมอแต่เนิ่นๆ  รวมถึงการแจ้งค่าระดับไตตนเองแก่เภสัชกรทุกครั้งที่ซื้อหรือให้ทำการจ่ายยาให้

                    “อันดับแรกเราควรรู้สภาวะไตของตนเอง นั่นคือควรตรวจไตปีละครั้ง และแจ้งแพทย์เภสัชกรทกุครั้งถึงสภาวะไต รวมถึงการไม่ประพฤติปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไต รู้จักยาที่ใช้ประจำตัวอย่างระมัดระวัง รวมถึงการใช้ยาสมุนไพรต่าง ๆ

                    “อย่าเชื่อออนไลน์มาก กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมไม่ใช่ยา ถ้าโฆษณามีสรรพคุณรักษา ถือว่าผิดกฎหมาย นอกจากนี้ เมื่อจะซื้อยาควรถามชื่อทางยา รวมถึงเภสัชกรควรตรวจสอบชื่อผู้ป่วยเพื่อลดปัญหาใช้ยาผิดคน และจ่ายยาที่ถูกต้องตามหลักวิชาชีพ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ควรให้คำแนะนำและการปฏิบัติตัวและการใช้ยาเมื่อเป็น CKD ระดับ 3 ซึ่งห้ามจ่ายยากลุ่ม NSAIDs.ให้”

ภาพประกอบ ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.)

ชวนคนไทยป้องกัน “ไต” แต่เนิ่น ๆ

                    “สิ่งที่น่ากลัวคือ เรามักจะละเลยเรื่องการอาหารการกิน คือนอกจากลดการกินเค็มเพื่อลดโซเดียมแล้ว ต้องไม่ลืมว่า โซเดียมมันไม่ได้มีแค่เกลือ ผงชูรสก็โซเดียม รวมถึงซอสปรุงรสต่าง ๆ และอีกกลุ่มหนึ่งคืออาหารเสริมกับสมุนไพร อาหารเสริมเป็นการสกัดจากพืชบ้างจากสารเคมีบางอย่างบ้าง และเราไม่รู้ชัดว่าในนั้นมีอะไรบ้าง คนที่กินต่อเนื่องกินนาน ๆ เรื้อรัง มีโอกาสส่งผลกระทบตามมา

                    ผศ.ภญ.ดร.นิยดา กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ควรเฝ้าระวังเรื่องการบริโภคยา เพราะแนวโน้มยามีอันตรายต่อไตมากกว่าอาหาร เพราะว่ายาเป็นสารเคมี เพราะฉะนั้นการสุ่มเสี่ยงมากกว่า

                    หากประชาชนทั่วไปต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาที่ถูกต้องสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สายด่วน 1556

Shares:
QR Code :
QR Code