“รั้วชุมชน” ขับเคลื่อน “อบต.สีขาว” มุ่งสกัดภัยยาเสพติด
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นส่งเสริม
นายไพรัตน์ สกลพันธุ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งสัมผัสงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตั้งแต่สมัยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด และคลุกคลีกับงานชุมชนในฐานะอดีตอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์ 5 รั้วว่า
โครงการรั้วชุมชนที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นต้องเข้าไปมีบทบาทโดยตรงถือเป็นเรื่องด่วน ต้องลงไปให้ความรู้กับชุมชนว่ายาเสพติดมีอันตรายอย่างไรตรวจสอบว่าเหตุใดจึงเกิดการค้า การเสพ
ปัญหายาเสพติดเริ่มจากครอบครัว ชุมชน จากเด็ก การแก้ปัญหาต้องมองจากต้นตอ ปราบปรามอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองลึกลงไปว่า คนค้ายาเสพติด เสพยาเพราะอะไร
คำตอบที่ได้จะตรงกันหมด ทุกคนต้องตอบว่าค้ายาเพราะต้องการเงิน เมื่อได้คำตอบแล้วก็ต้องมาหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้กลุ่มเสี่ยงเหล่านี้มีวิธีหาเงินโดยไม่ต้องค้ายา
หมายถึงการหาอาชีพให้คนเหล่านี้หันมาประกอบอาชีพที่สุจริตแทนการค้ายาที่ผิดกฎหมาย เมื่อมีอาชีพ มีรายได้ไม่มีใครอยากทำสิ่งผิดกฎหมายไม่มีใครอยากหันไปค้ายาเสพติด
ในเรื่องนี้จะร่วมมือกับกรมการปกครองที่ดูแลกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เนื่องจากผู้นำชุมชนทั้ง 2 ส่วนนี้ รู้จักลูกบ้านแต่ละครัวเรือน แต่ละหลังอย่างใกล้ชิด สามารถชี้ได้ว่า 150 ครัวเรือนมีอยู่กี่ครัวเรือนที่ไม่มีอาชีพ มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์สุ่มเสี่ยงต่อการเข้าไปพัวพันกับยาเสพติด หน่วยงานรัฐต้องนำมาอบรมและส่งเสริมอาชีพและหาตลาดให้เป็นการดำเนินการให้ครบวงจร เพื่อแก้ปัญหายั่งยืน
นายไพรัตน์มีแนวคิดว่า จากนั้นจะขยายจากหมู่บ้าน เป็น อบต. สมาชิก อบต. ต้องรับผิดชอบหมู่บ้านในพื้นที่ของตัวเอง หมู่บ้านใครก็ทำให้ขาว ตำบลหนึ่งมี 5 หมู่บ้าน แน่นอนว่าหมู่บ้านสีขาวย่อมได้รับการยกย่องชมเชยหมู่บ้านอื่นและหัวหน้าชุมชนต้องเร่งรณรงค์เสริมสร้าง ปฏิวัติตัวเองให้เป็น “หมู่บ้านสีขาว” จากนั้น ขยายไปสู่ตำบลสีขาว หรือ “อบต.สีขาว” ให้ได้ในที่สุด
“ผมจะสื่อสารกับนายก อบต. แต่ละแห่งว่า หากเป้น อบต.สีขาว ก็จะได้งบอุดหนุนเป็นกรณีพิเศษ” นายไพรัตน์กล่าว
นอกจากนี้ การใช้ระบบ “ฟาสต์แทร็ค” ให้รางวัลกับบุคคลที่ทำงานประสบความสำเร็จในเรื่องยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะเป็นแรงจูงใจสำคัยที่ทำให้งานบรรลุเป้าหมาย
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จะคัดเลือก อปท. ที่มีผลงานดีเด่น สร้างผลงานทำให้ประชาชนได้ประโยชน์และเกิดควาพึงพอใจมาเผยแพร่ผ่านทางสื่อเพื่อให้เป็นแบบอย่างต่อไป
ส่วนปัญหายาเสพติดที่ซับซ้อนกับปัญหาความมั่นคงในภาคใต้ จะสร้างแนวทางแก้ไขโดยอาศัยความร่วมมือของคนในชุมชน
โดยเฉพาะนายก อบต. และสมาชิก อบต. จะเป็นกำลังสำคัญ และน่าจะเข้ากับชาวบ้านได้ อย่างกลมกลืน เพราะเป็นคนที่ชาวบ้านเลือกเข้ามาบริหารงาน พูดภาษาเดียวกัน เข้าใจและรู้สภาพความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านในตำบลเป็นอย่างดี
ปัจจุบัน อปท. จัดเก็บและบริหารจัดการงบประมาณได้เอง มีความเป็นอิสระ สะท้อนถึงประชาธิปไตยในระดับพื้นฐาน
การทำงานกับ อปท. ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จึงยึดหลักบอกกล่าวนโยบายขอความร่วมมือให้นำไปปฏิบัติ
เมื่อมีความเป็นอิสระและรู้ปัญหาของพื้นที่ตนเองเป็นอย่างดี อปท. จึงสามารถนำนโยบายไปแปรเป็นการปฏิบัติ เพื่อแก้ปัญหาท้องถิ่นตัวเองได้ไม่ยาก
สุดท้าย อปท. ที่ปลอดจากยาเสพติด หรือมีตัวเลขยาเสพติดลดน้อยลง ย่อมถือเป็นผลงานส่วนหนึ่งของ อปท. ที่จะต้องเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับรู้
นายไพรัตน์ สกลพันธุ์ กล่าวว่า งานในส่วนของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น คือการสร้างจิตสำนึกให้ชาวบ้านรู้ว่ายาเสพติดเป็นปัญหาอย่างไรทำให้ชาวบ้านเกิดความรู้สึกต่อต้านไม่ให้ยาเสพติดเข้ามาในชุมชนของเขา
“จุดเริ่มต้นของการสร้างจิตสำนึก ต้องเริ่มจากการสร้างความเข้มแข็งใน 2 ด้าน คือ 1. ความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ 2. ความเข้มแข็งเรื่องวัฒนธรรมประเพณี หลักการของผมคือ ถ้าเศรษฐกิจดีและวัฒนธรรมประเพณีเข้มแข็ง สิ่งไม่ดีอย่างอื่นก็เข้ามาไม่ได้ นี่คือรั้ว” นายไพรัตน์กล่าว
ความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมประเพณี นายไพรัตน์ ยกตัวอย่างประเพณีศาสนาชุมชนไทย อาทิ ชุมชนหมู่บ้านไทยพุทธต้องส่งเสริมให้มีการทำบุญ รักษาจารีตประเพณีดั้งเดิม ที่ดีๆไว้
ตรงกันข้าม หากปล่อยให้มีการเปิดสถานบันเทิงแหล่งอบายมุข ปล่อยให้เดินตามวัฒนธรรมมั่วสุมต่อไปก็จะมียาบ้า ยาไอซ์ตามเข้ามาอีก
ส่วนความเข้มแข็งทางเศรษฐฏิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นระบุว่าต้องทำให้สอดคล้องกันทั้งงานสร้างอาชีพ งานบำบัด และต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ต้องเริ่มตั้งแต่ในหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน ผู้บริหารท้องถิ่นรู้กันแล้วว่าบ้านไหนประกอบอาชีพอะไร ครัวเรือนไหน ไม่มีอาชีพ ต้องคิดว่าจะช่วยให้ชาวบ้านเหล่านั้นมีอาชีพมีรายได้อย่างไร จะได้ไม่เกิดความคิดว่า ไม่มีกินไปค้ายาดีกว่าต้องเข้าไปสร้างอาชีพและทำให้เขามีรายได้อย่างต่อเนื่อง
นายไพรัตน์ ยกตัวอย่างที่อาจนำมาปรับใช้ในการแก้ปัญหายาเสพติดว่า สมัยเป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ได้สร้างอาชีพให้ชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าโอท็อปที่โด่งดังเมื่อนำเครื่องเบญจรงค์ สินค้าโอท็อปของ จ.สมุทรสาคร มาออกรายการโทรทัศน์เพียง 30 นาที แต่ขายของได้ 5 แสนกว่า
หรืออาหารนกของมุสตาฟาที่ จ.ปัตตานี ทุกวันนี้ขายได้ปีละ ร้อยกว่าล้านบาท จากเงินลงทุนแค่พันบาท เฉาก๊วยชากังราวที่กำแพงเพชร คนทำเป็นพนักงานขับรถของ กศน. ปัจจุบันมีฐานะมั่นคง
งานอาชีพเหล่านี้จะนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างความเข้มแข็งด้านเศรฐกิจ งานอาชีพเหล่านี้สามารถขยายฐานสมาชิก ทำให้เกิดกลุ่มงานของคนในชุมชน ไม่ได้ขายของกันแค่คนเดียวยกตัวอย่างอาหารที่ปัตตานี แต่ละวันจะมีกลุ่มแม่บ้าน 10-20 คนมาช่วยกันทำเพราะวันหนึ่งขายเป็นพันกิโล
ชาชัก ที่ จ.นราธิวาส จากที่ขายได้วันละไม่ถึงพันบาทแต่มาขายในงานโอท็อป ขายได้วันละ 3-4 หมื่นบาท จัดงานอาทิตย์เดียวได้ตก 2-3 แสนบาท ขายดีจนทำไม่ทันต้องไปเอาเด็กใหม่ในหมู่บ้านที่ว่างงานและง่ายต่อการถูกชักชวนไปให้เดินทางผิดมาช่วยขาย
เมื่อดึงเด็กกลุ่มนี้มาได้ก็จะลดคนในกลุ่มเสี่ยงลงเรื่อยๆ ปัญหาต่างๆ ก็ลดลงไปด้วย เป็นการแก้จากพื้นฐาน ปัญหาว่าเกิดเพราะอะไร ถ้าไม่คิดเรื่องนี้ก็แก้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหายาเสพติด ต้องทำอย่างเป็นกระบวนการ และมีการบูรณาการหรือเชื่อมประสานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ในหมู่บ้านมีคนติดยา กระทรวงสาธารณสุขก็ต้องเข้าไปบำบัด หากไม่ยินยอมก็ต้องใช้กลไกอื่น เช่น นายอำเภอ ตำรวจ ไปบังคับบำบัด การแก้ปัญหาจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เมื่อคนเหล่านี้ได้รับการบำบัดรักษาแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยต้องเข้าไปส่งเสริมอาชีพให้มีรายได้ ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการทำให้สังคมชุมชนยอมรับเขากลับไปใช้ชีวิตไม่เช่นนั้นปัญหาก็จะกลับมาสู่วังวนเดิมๆ
แบบอย่างจากสมัยเป็นอธิบดีกรมพัฒนาชุมชน หละงบำบัดก็เข้าไปสอนช่างตัดผม พ่อแม่ดีใจร้องไห้ขอให้ลูกเข้ามาฝึกต่อเขาจะซื้อเครื่องไม้เครื่องมือให้ลูก หลักการทำงานจึงไม่ใช่การบำบัดให้หายอย่างเดียว แต่บำบัดแล้วต้องมีอาชีพถ้าบำบัดแล้วไม่มีอาชีพให้เขากลับไปนอนอยู่บ้านไม่มีรายได้ ก็เหมือนเดิม
และต้องให้สังคมยอมรับด้วย ไม่ใช่กลับไปแล้วโดนตราหน้า ต้องบอกผู้ใหญ่บ้าน บอกชุมชนว่าคนนี้บำบัดหายแล้ว มีอาชีพส่งเสริมให้คนในชุมชนจ้างงานคนที่ผ่านการฝึกอาชีพเหล่านี้ เป็นการสานต่อทำให้เกิดการจ้างงานกันเองในชุมชน
การบำบัดต้องครบวงจร บำบัดหายแล้วต้องช่วยหาอาชีพต้องทำต่อให้ครบวงจร ส่งเสริมอาชีพแล้วต้องช่วยหาตลาด เพื่อให้มีโอกาสขายสินค้าได้ตลอด และต้องทำต่อเนื่องกันทั้งปี ส่งเสริมกันทั้งปี จึงจะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้
เมื่อรั้วด้านเศรฐกิจเข้มแข็งก็เท่ากับช่วยป้องกันไม่ให้ยาเสพติดเข้ามาได้ เป็นการใช้หลักดีมานด์-ซัพพลาย โดยลดดีมานด์ลงให้ได้
หากลดได้ การซื้อขายจะทำได้ยากขึ้นเพราะพื้นที่ขายไม่มี ยาเสพติดจะราคาแพง คนซื้อก็จะลดจำนวนลง
การทำลานกีฬา ถือเป็นกิจกรรมป้องกันยาเสพติดอีกด้านหนึ่ง หลังทำงานอาชีพ ตกเย็นว่างมาจับกลุ่มเล่นกีฬาออกกำลังกายเป็นโครงการต่อเนื่องของการป้องกันยาเสพติด
เมื่อสุขภาพแข็งแรงนอนหลับ ตื่นเช้าประกอบอาชีพมีรายได้ การดำรงชีวิตหมุนเป็นวัฎจักรเช่นนี้ ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องยาเสพติดที่ไม่เกิดประโยชน์กับตัวเขาเอง
ที่กล่าวมาคือการทำให้เศรษฐกิจเข้มแข็ง วัฒนธรรมประเพณีเข้มแข็ง เมื่อ 2 อย่างเข้มแข็ง วัฒนธรรมปะเพณีเข้มแข็ง เมื่อ 2 อย่างเข้มแข็ง ชุมชนก็เข้มแข็ง การสร้างจิตสำนึกก็ง่ายขึ้น
วัฒนธรรมประเพณีที่เข้มแข็งยังช่วยในเรื่องความสมานฉันท์นำไปสู่สังคมเข้มแข็งที่คงทนต่อการถูกก่อกวนโดยยาเสพติด
“อย่างประเพณีของคนอีสาน ฮีต 12 คอง 14 ทุกเดือนมีงานหมด ผู้คนได้เห็นหน้ากันทุกเดือนก็รู้จักกัน ไม่มีการทะเลาะเบาะแวง” นายไพรัตน์กล่าว
เป็นอีกแนวหนึ่ง ในการนำสังคมท้องถิ่นเข้าสู้กับยาเสพติด
“ปัญหายาเสพติดเริ่มจากครอบครัว ชุมชน จากเด็ก การแก้ปัญหา ต้องมองจากต้นตอ ปราบปรามอย่างเดียว ไม่ได้ ต้องมองลึกลงไปว่าคนค้ายาเสพติด เสพยาเพราะอะไร”
ที่มา: เว็บไซต์มติชน
update: 27-10-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร