รับมือ ‘ป่วยทางจิต’ ในยุคเศรษฐกิจมีปัญหา

 

รับมือ 'ป่วยทางจิต' ในยุคเศรษฐกิจมีปัญหา

 

นายแพทย์บุรินทร์ สุรอรุณสัมฤทธิ์ จิตแพทย์จากสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยาเล่าว่า…

“ส่วนใหญ่ปัญหาความเครียดจากเศรษฐกิจเกิดจากคนมีความวิตกกังวลว่าชีวิตจะทำอย่างไรต่อไปเพราะแม้จะเคยมีชีวิตฟุ่มเฟือยหรูหรา แต่ทุกครั้งที่มีปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งแรกที่พวกเขาจะหันกลับมามองเป็นเรื่องปัจจัย 4 ใกล้ตัว โดยฉพาะเรื่อง…พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน …บางคนก็จะมีความวิตกถึงความมั่นคงในชีวิตจากเคยมีทรัพย์สินให้ยึดถือก็กลับไม่มี ความคาดหวังในชีวิตเปลี่ยนไปภาวะนี้จะก่อให้เกิดความเครียด และความซึมเศร้าอย่างรุนแรงได้ ปรับตัวไม่ได้ จนบางครั้งอาจนำไปสู่การคิดฆ่าตัวตาย เช่นเดียวกับในปี 2539-2540 อัตราการฆ่าตัวตายเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมาก เราจึงต้องศึกษาข้อมูลในอดีตเพื่อนำมาใช้เป็นบทเรียนเตรียมตัวสำหรับปัญหาเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นต่อไปครับ” คุณหมอบุรินทร์อธิบายว่า “สำหรับในทางจิตเวชแล้ว การมีอาการบางอย่างนานจนมีผลกระทบกับชีวิตประจำวัน หรือกระทบความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ตรงนี้ถือว่าเป็นโรคทางจิตเวช” และปัญหาเศรษฐกิจที่ตกสะเก็ด มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้เกิดโรคจิตเวชดังต่อไปนี้

1.Adjustment disorder : โรคจากการปรับตัว “Adjustmentdisorder เป็นโรคที่เกิดจากการไม่สามารถปรับตัวได้เมื่อเกิดความเครียดมีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล ไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างที่เคยทำหรือรักษาความสัมพันธ์แบบเดิมกับคนรอบข้างได้และยิ่งส่งผลให้ทำงานแย่ลงด้วย สำหรับปลายทางของโรค Adjustment Disorder ไม่ค่อยนำไปสู่เรื่องร้ายแรงอย่างการฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตัวเองมากนัก เนื่องจากเป็นโรคที่มีระยะเวลาค่อนข้างชัดเจน หากได้รับการช่วยเหลือจากคนรอบข้างในการปรับตัว หรือพามาพบหมอได้ทันเวลา โรคนี้จะหายไปเอง และกลับสู่ภาวะปกติได้โดยไม่ต้องกินยานาน”

2.ภาวะซึมเศร้าและโรคซึมเศร้าสำหรับอาการของ ‘ภาวะซึมเศร้า’ นี้ แพทย์หญิงอำไพขนิษฐ สมานวงศ์ไทย จิตแพทย์จากโรงพยาบาลศรีธัญญา ได้อธิบายว่า “ภาวะซึมเศร้าอาการส่วนใหญ่ที่พบก็คือ คนไข้มักมีอารมณ์สลดหดหู่ ไม่แจ่มใส นอกจากนี้ยังรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า มีสมาธิแย่ลง น้ำหนักลด นอนไม่หลับเลยหรือหลับๆ ตื่นๆ หากเป็นในระยะยาว อาจมีพฤติกรรมรุนแรงจนถึงทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตายได้ แต่เนื่องจากภาวะซึมเศร้าเป็นอาการที่เกิดเพียงชั่วคราวตามสาเหตุหรือสถานการณ์ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป และชีวิตเขากลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วเขาก็น่าจะหายจากอาการซึมเศร้าด้วย แต่ถ้าเป็นนานแล้วหากยังไม่หายก็อาจจะเป็นไปได้ที่คนๆ นั้นป่วยเป็น ‘โรคซึมเศร้า’ ไปเสียแล้ว”

“โรคซึมเศร้านี้ จริงๆ แล้วมีสาเหตุหลักเกิดจากกายภาพเฉพาะของตัวผู้ป่วยเอง เช่น มีระดับสารเคมีในสมองบกพร่องอยู่แล้ว เพียงแต่ความเครียดทางเศรษฐกิจที่รุนแรง อาจเป็นตัวกระตุ้นหนึ่งที่ทำให้อาการของโรคแสดงออกได้เร็วขึ้นเท่านั้นค่ะ”

3.Brief Reactive Psychosis : อาการทางจิตชั่วคราว คุณหมออำไพขนิษฐ อธิบายว่า “หากเกิดความเครียด และภาวะซึมเศร้าที่รุนแรงมากอาจทำให้ผู้ป่วยมี ‘อาการทางจิตแบบชั่วคราว’ หรือ ‘Brief ReactivePsychosis’ ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนผู้ป่วยโรคจิตชนิดเรื้อรัง (ChronicPsychosis) แทบทุกอย่าง คือ มีทั้งอาการหูแว่ว เห็นภาพหลอนหรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมอื่นๆ เช่น แต่งตัวไม่เรียบร้อย ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน หรือพูดจาแปลกๆ เพียงแต่ต่างกันตรงที่‘อาการทางจิตชั่วคราว’ ไม่ได้มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับระดับสารเคมีในสมองเลย แต่มาจากการถูกกระทบทางจิตใจ อาการจึงมักเกิดขึ้นอย่างปุบปับ เฉียบพลัน หมายความว่าจากอาการปกติไปจนถึงมีอาการชัดเจนใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์และไม่เคยมีประวัติมีอาการบ่งชี้ว่าจะป่วยเป็นโรคจิตมาก่อน”

“วิธีการรักษาแพทย์มักประเมินจากความรุนแรงของอาการ แต่เนื่องจากสาเหตุหลักไม่ใช่ความผิดปกติของสารเคมีในสมองแพทย์ จึงมักเน้นเรื่องจิตบำบัด และการปรับเปลี่ยนแนวคิด-ทัศนคติ ยกเว้นในกรณีที่เขากินไม่ได้นอนไม่หลับจนร่างกายได้รับผลกระทบและยิ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้จะไม่มีเรี่ยวแรงต่อสู้กับปัญหาที่เผชิญอยู่อาจจะต้องมีการให้ยาเพื่อปรับสภาพจิตใจ และอารมณ์ทำให้เขาสามารถกลับมารับประทานอาหาร และนอนหลับเพื่อมีเรี่ยวแรงแก้ปัญหาต่อไป ซึ่งปกติแล้วคนที่ป่วยด้วยโรคนี้มักกลับมาหายเป็นปกติภายในไม่เกิน 1 ปีหรือเมื่อภาวะความเครียดต่างๆ ทุเลาลงค่ะ”

วิธีสังเกตคนที่จิตเจ็บป่วย

คุณหมอบุรินทร์ตอบว่า“วิธีจะสังเกตว่าใครเริ่มมีปัญหาความเจ็บป่วยทางจิตเป็นสิ่งสำคัญมากครับซึ่งจริงๆ แล้ว อาการของโรคทางจิตเวชเกือบทุกชนิดมีลักษณะที่คล้ายๆ กันคือ ต้องมีอาการทางจิตใจและพฤติกรรมผิดไปจากเดิม ปกติเป็นอย่างหนึ่ง แต่วันดีคืนดีเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นเช่น ด้านอารมณ์จากที่เคยสุขุมอาจเปลี่ยนเป็นคนฉุนเฉียว ก้าวร้าว หงุดหงิดหรืออาจซึมเศร้า วิตกกังวลมากจนไม่สามารถใช้ชีวิตปกติอยู่ได้”

 “ในลักษณะพฤติกรรม อาจกลายเป็นคนโมโหร้าย หรือ ทำร้ายคนอื่นโดยไม่รู้ตัว คือทำไปโดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะตามมาเหมือน ‘คนไม่รู้ผิดชอบ’หรือมีการใช้ยาเสพติดมากขึ้น นอกจากนี้เราต้องพิจารณาระยะของอาการด้วยคือต้องมีอาการเหล่านี้ยาวนานเกือบตลอดทั้งวันแทบไม่มีช่วงไหนเลยที่จะดีขึ้น รวมถึงเป็นติดต่อกันมาประมาณ 2-3 สัปดาห์ขึ้นไปสิ่งสำคัญที่สุดที่จะพิจารณาว่าควรรับการรักษาหรือไม่ ก็คือพฤติกรรมที่ผิดปกตินั้นทำให้เสียหน้าที่การงานหรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือไม่ หากคำตอบคือ ‘ใช่’ก็ควรมาพบแพทย์ครับ”

ใครมีแนวโน้มฆ่าตัวตาย

หากสงสัยว่าคนใกล้ชิดอาจมีความคิดทำนองนี้อยู่ คุณหมออำไพขนิษฐแนะให้สังเกตดังนี้ค่ะ “คนกลุ่มที่มีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตายนี้มักจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเสี่ยงบางอย่าง’ ซ่อนอยู่เช่น อาจเป็นคนซึมเศร้าง่าย อ่อนไหวง่ายอะไรเข้ามากระทบก็หมดกำลังใจได้ง่าย หรือเป็นคนไม่ค่อยสู้ปัญหามักหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับทุกเรื่องหรือทุกคนที่จะสร้างความลำบากใจมาให้ นอกจากนี้ผู้ที่คิดฆ่าตัวตายมักเป็นคนที่ขาดการสนับสนุนจากครอบครัว เช่น คนโสดไร้ญาติขาดมิตร ไม่ค่อยมีเพื่อนฝูง หรืออาจเจอวิกฤติ อย่างเช่น กำลังตกงานหรือล้มละลาย”

“อีกกลุ่มที่ลืมไม่ได้คือ ผู้ที่มีอาการป่วยเรื้อรังมาก่อน เช่นเป็นโรคทางกายที่รุนแรงอย่างโรคเบาหวาน โรคไต โรคมะเร็งระยะสุดท้ายและโดยเฉพาะโรคเอดส์ หรืออาจป่วยทางจิตมานาน ยิ่งถ้ามีความเสี่ยงหลายๆอย่างมารวมอยู่ที่คนๆ เดียว ตรงนี้ยิ่งน่าจับตาอย่างใกล้ชิด”

หาทางออกให้ ‘ใจ’

ในยุคนี้ คุณหมออำไพขนิษฐ มีข้อแนะนำดังนี้ค่ะ

ปรับความคิด เปิดใจยอมรับ“จริงๆ แล้วหมออยากให้ระลึกไว้เสมอว่า‘ทุกคนล้วนมีศักยภาพในการจัดการตัวเอง’แม้ในภาวะที่กำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ คุณอาจจะเครียด กินไม่ได้นอนหลับไม่ลงบ้าง หงุดหงิด อ่อนเพลียละเหี่ยใจบ้างแต่หากยังไม่ถึงขั้นรุนแรงก็ควรทำใจเย็นๆ ให้โอกาสตัวเองได้ทดลองแก้ไขปัญหาอย่างดีที่สุดก่อน เพราะการมีความเครียดมีปัญหามาให้จัดการจะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันทางความคิดมากขึ้น ต่างจากคนที่ไม่เคยล้ม ไม่เคยผิดหวังเลยเมื่อเจอปัญหาอาจทำให้บอบช้ำมากได้ นอกจากนี้เราต้องเข้าใจสัจธรรมของชีวิตว่า ‘มีขึ้นมีลง’จะมีแต่ขาขึ้นหรือขาลงอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ไม่ต่างจากหน่วยใหญ่คือระบบเศรษฐกิจที่ก็ต้องมีขึ้นมีลงเหมือนกันและไม่ใช่เพียงเราคนเดียวที่ประสบปัญหา จึงไม่ควรท้อแท้แต่มองว่านี่เป็นโอกาสให้คุณได้ทดสอบความสามารถของตัวเองมากกว่า…ต้องมองในมุมที่บวกเข้าไว้ค่ะ”

มองหาศักยภาพใหม่ๆ ในตัวเอง“ในยุคที่เศรษฐกิจตกสะเก็ดอย่างนี้ แทนที่จะฝืนทำงานเดิมต่อไปอาจเป็นโอกาสให้เราได้ค้นหาศักยภาพ ความถนัดหรือลู่ทางใหม่ในตัวเราที่ยังไม่ได้เอามาใช้ซึ่งอาจประสบความสำเร็จกว่าก็ได้ยิ่งหากในตอนนี้คุณยังคงมีทุนเดิมอยู่บ้างก็ยิ่งสามารถสร้างลู่ทางใหม่ได้ง่ายยิ่งขึ้น”

วางแผนชีวิตแบบมั่นคงในระยะยาว“เมื่อผ่านบทเรียนครั้งนี้ไปได้แล้วเราควรมีการเตรียมความพร้อมให้ชีวิตในระยะยาว ทั้งการวางแผนใช้เงินลดพฤติกรรมฟุ่มเฟือย และสร้างนิสัยประหยัดให้กับตัวเองแม้จะมีรายได้มากรวมถึงปรับระบบการออมทรัพย์ของตัวเองใหม่ เพื่อให้มีทุนเตรียมรับกับชีวิต‘ขาลง’ ที่เกิดขึ้นในอนาคต”

‘ครอบครัว’ เป็นตัวช่วย“ส่วนมาก เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจมีปัญหาคนที่รับบทหนักก็มักจะเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ความเครียดก็กระจายถึงกันได้และเพราะทำหน้าที่ต่างกันจึงอาจกระทบกระทั่ง และมีปากเสียงกันได้แต่ในเวลาแบบนี้ทุกคนจึงควรให้กำลังใจซึ่งกันและกันสนับสนุนกันเท่าที่ทำได้ และลดการเผชิญหน้าในบางเรื่องลง นอกจากนี้สมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวก็ต้องมีส่วนช่วยในการปรับพฤติกรรมเหมือนกัน เช่นต้องช่วยกันประหยัด ลดสิ่งฟุ่มเฟือยลงด้วย ไม่อย่างนั้นคงเป็นการเอาเปรียบและบั่นทอนกำลังใจของหัวหน้าครอบครัวมากค่ะ”

 

 

ที่มา : แผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต

Shares:
QR Code :
QR Code