รักแท้ระงับอารมณ์ สยบความรุนแรงในบ้าน
ยึดหลักศาสนาในการดำรงชีวิต
แทนคุณ จิตต์อิสระ ทูตสันติภาพป้องกันความรุนแรงในครอบครัว ภายใต้โครงการ smart family : ใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกัน เพื่อลดความรุนแรงในครอบครัว ของมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก (โทร.0-2412-0738, 0-2412-9834 www.thaichildrights.org) ชวนครอบครัวให้ความสำคัญกับการสร้างความรัก ความเข้าใจ และเมตตา ยึดหลักศาสนาในการดำรงชีวิต ทำให้บ้านหรือครอบครัวปลอดความรุนแรง
จากประสบการณ์ของตนเอง แทนคุณกล่าวว่า พอรู้ว่าจะมีลูก ต้องปรับตัวเองก่อน เพราะเดิมตัวเองเป็นคนใจร้อนแล้วก็ทำอะไรเร็ว แต่เมื่อมีใครสักคนที่เราต้องอ่อนโยน อ่อนไหวในการดูแลอย่างมากเนี่ย เราต้องปรับตัวเองก่อน
เริ่มโดยการแผ่เมตตาให้กับตัวเองหรือไม่ก็แผ่เมตตาให้ลูกทุกครั้งๆ ที่มีโอกาส จะไม่ใช้อารมณ์ ในแง่ของการตำหนิ เมื่อลูกทำผิดเราจะสอนเขาว่า ต้องทำอย่างนี้นะ เรามาช่วยกันทำดีกว่า เรามาช่วยกัน เอากระบวนการเป็นตัวตั้ง
กับภรรยา เราจะตกลงกันว่าต่อหน้าลูกเราจะไม่พูดจาไม่ดีต่อกันโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรจะใหญ่แค่ไหน ถ้าเกิดมีปัญหาเราจะเก็บไว้ เราจะแบกรับภาระนั้นไว้และเราจะคลี่คลายด้วยวิธีการที่ดีที่สุด เพราะผ่านเวลาไปเรื่องที่เราเก็บในใจมันก็หายไปด้วยและเราก็จะแผ่เมตตา
“ผมจะพูดกับลูกทุกวันว่าลูกเป็นเด็กที่ดี ลูกที่รัก เด็กอันประเสริฐ พูดอย่างนี้จนเขาก็ซึมซับและจะเป็นเด็กที่มีอารมณ์ดีมาก ไม่โกรธ แต่ขณะเดียวกันเรื่องระเบียบเราต้องใช้จังหวะเวลา เราจะไม่ใช้ตอนที่เขายังเด็กอยู่ ตอนนี้อายุเพิ่ง 3 ขวบกว่า เราจะไม่รีบยัดเยียดวินัย เช่น ต้องทำอะไรเป๊ะๆ เช่น ทำผิดวินัยต้องตี ถ้ากินข้าวต้องเรียบร้อย ต้องทำอะไรเอง ไม่ใช่ เราต้องเข้าใจว่าพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัยไม่เหมือนกัน”
เด็กวัย 0-7 ขวบ จะมีพัฒนาทางกาย วัย 2-14 ปีก็จะเป็นเรื่องของฐานในความรู้สึกนึกคิด วัย 15-20 ปี เป็นเรื่องของฐานความคิด ซึ่งจำเป็นต้องฝึกเรื่องความคิดต่างๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลทำด้วยกันได้ แต่ควรต้องให้ความสำคัญว่าเรื่องอะไรควรมาก่อนหลัง เช่น เรื่องกาย การโอบกอด การเคลื่อนไหว การให้สัมผัสโอบกอด จับต้องของจริง ให้เล่นสนุกสนานและพัฒนาไปสู่ระบบวินัย ก็ต้องทำตรงนี้ เป็นรายละเอียดที่แยบคายมาก
ทำอย่างไรเราจึงจะสร้างสิ่งที่ตรงข้ามกับความรุนแรงคือ ความรัก ความเข้าใจกัน ก็คือการใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหา จะไม่ใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะความรัก ขอให้นิยามสั้นๆ ว่า ความรัก คือ love l = learning o = over v = violence e = emotion คือการเล่นหรือการเรียนรู้ที่จะข้ามผ่านอารมณ์แห่งความรุนแรงได้ นั่นคือความรักที่แท้จริง ภาษาพระเรียกว่าเมตตา พื้นฐานมนุษย์มีความเมตตาอยู่แล้ว แต่ด้วยระบบสังคมที่มันห้อมล้อม ห่อหุ้ม ล้อมกรอบไว้ ทุกคนต้องแข่งขันกันทำให้เกิดความคับแคบและเคร่งเครียด จนในที่สุดมันก็นำมาซึ่งการใช้ความรุนแรง
หากมีการจัดระดับความรุนแรงเป็น 1-5 ความรุนแรงของสังคมไทยจะอยู่ในระดับ 4 คือ ค่อนข้างจะรุนแรงมาก ซึ่งเป็นความรุนแรงที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นความรุนแรงที่ไม่รู้ตัว เป็นความรุนแรงที่สะสมในชีวิตประจำวัน ความรุนแรงมีมิติอยู่ 4 มิติด้วยกันคือ มิติทางกาย ทางจิตใจ ทางสังคม และทางสติปัญญาหรือความคิด
ความรุนแรงทางกาย คือ การใช้กำลัง ความรุนแรงประเภทนี้อยู่ในระดับ 2-3 ไม่พบเห็นมากนักโดยทั่วไป แต่เมื่อรุนแรงแล้วก็อาจจะนำมาถึงความบาดเจ็บและถึงสูญเสียชีวิตไป เช่น มีโศกนาฏกรรมพ่อแม่ทำร้ายลูก หรือการทำร้ายด้วยวาจา เป็นการทำความรุนแรงทางจิตใจ เป็นสิ่งที่อ่อนไหวมากสำหรับเด็ก โดยเฉพาะเด็กอายุตั้งแต่ 0-7 ขวบเป็นช่วงที่เด็กต้องการความรัก ความอบอุ่น ต้องการแบบอย่างที่ดีและต้องการความดูแลเอาใจใส่ แต่พ่อแม่มักไม่เข้าใจ มักรู้สึกว่าลูกในวัยนี้ค่อนข้างจะเลี้ยงยาก น่ารำคาญ และมักจะมีทัศนคติว่าเด็กดื้อ ไม่เชื่อฟัง จริงๆ แล้วเด็กต้องการการเรียนรู้และต้องการการอธิบาย ความเข้าใจอย่างมีเมตตา นับเป็นช่วงสำคัญที่สุดในการพัฒนาเด็ก
ความรุนแรงในสังคม ซึ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้เรามีความรุนแรงผ่านสื่อแทบจะทุกเวลา โดยเฉพาะช่วงไพรม์ไทม์เป็นช่วงเวลาของครอบครัว เรากลับยัดเยียดความรุนแรงเข้าไป ฉากละครที่ตบตีกัน ภาพข่าวที่รุนแรง สิ่งเหล่านี้ประทับลงไปในจิตใจเด็กทุกวันๆ หรือคนในสังคม ใครที่ยอมอภัยกัน ประนีประนอมกัน จะกลายเป็นคนเสียหน้าเสียศักดิ์ศรี เสียสถานภาพทางสังคม ซึ่งมันไม่ใช่
ความรุนแรงด้านสติปัญญา คือระบบคิดทางการศึกษา สอนให้คนเราแข่งขันและเคร่ง เครียดมาก ต้องรวย ต้องฉลาด ต้องประสบความสำเร็จ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกชี้วัดไปหมดเลย ทั้งคุณค่าบางอย่างตีเป็นตัวเงินไม่ได้ เช่น ความเสียสละ ความมีน้ำใจ
เราควรต้องส่งเสริมให้คนมีธรรมะ มีความเข้าใจที่แท้จริง มีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน แล้วก็ไม่เบียดเบียนกันในทุกระดับ ซึ่งมันดูจะเป็นความหวังที่ดูไกลเหมือนกัน แต่ว่าก็ต้องทำ เพราะการสร้างคนรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาให้ยอมรับและเคารพ แม้กระทั่งว่าคนอื่นจะอคติกับเรา หรือแม้แต่เราต้องเรียนรู้พยายามไม่ใช้อารมณ์ ไม่ใช้ความรุนแรงกับใคร แล้วต้องมีศรัทธาที่แท้จริงว่าเราศรัทธาในการเป็นมนุษย์ที่หลากหลายกว่าและมันจะช่วยทำให้เราอยู่ร่วมกันได้
“การจะยุติความรุนแรงในครอบครัวได้อาจจะต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีก็ได้ แต่ต้องเริ่ม ณ วันนี้ เราไม่อยากให้พ่อแม่ตีลูกโดยเข้าใจว่าการตีลูกนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง มันต้องมีกระบวนการที่ไปเยียวยาจิตใจผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ก่อน สร้างภูมิกันคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ก่อน ให้เข้าใจลูกมากกว่าทำร้ายลูก แม้ต้องเป็น 10-15 ปี แต่อยากให้ทำเรื่องนี้จริงๆ จังๆ”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
update 25-02-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: อารยา สิงห์สวัสดิ์